|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ฟ้าหลังฝนสดใสหลังสิ้นยุคทักษิณ-ไทยรักไทยโดนยุบ นักลงทุนเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ส่งหุ้นไทยพุ่ง ดัชนีทำนิวไฮด์รอบใหม่ ทะลุ 770 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,067 ล้าน ลุ้นทะยานเหนือ 800 จุด ต่างชาติไล่เก็บไม่หยุด แค่ 2 วันซื้อสุทธิ 1.55 หมื่นล้าน "PTT" ทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ "ภัทรียา" ระบุตลาดหุ้นฟื้นปลุกไอพีโอคืนชีพ เชื่อมีบริษัทสนใจระดมทุนเพียบ "เอกยุทธ" แนะจับตานอมินีชื่อใหม่ๆ หลังระบอบทักษิณหมดอำนาจ ขณะที่โบรกฯ เล็งปรับเป้าดัชนีสิ้นปีใหม่อีกครั้ง
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 มิ.ย.) ดัชนียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเป็นการทำสถิติใหม่อีกครั้งในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเนื่องจากช่วงวันหยุดที่ผ่านมาไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงจากการประท้วงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มีการคาดการณ์มีโอกาสที่เม็ดเงินที่เคยเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะเริ่มไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอื่นมากขึ้น หลังมีการเทขายหุ้นในตลาดหุ้นจีนออกมาอย่างหนัก โดยดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ปิดที่ 770.61 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ 2.21% โดยจุดสูงสุดของวันดัชนีอยู่ที่ 775.41 จุด หรือเพิ่มขึ้นมา 21.48 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดอยู่ที่ 757.35 จุด มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 37,067.10 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,362.82 ล้านบาท โดยเพียง 2 วันในเดือนมิ.ย.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 15,505.49 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 39.73 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 7,402.55 ล้านบาท
นอกจากนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทส่งผลทำให้ราคาทำสถิติราคาปิดที่ระดับสูงสุดหลายบริษัท เช่น บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 270 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือ 4.65% ซึ่งเป็นระดับราคาสูงสุดเท่าราคาปิดในปีที่ผ่านมา ขณะที่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC ราคาปิดที่ 256 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 5.79% โดยในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 258 บาท
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับเข้ามาสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งซึ่งสะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศแม้ว่านักลงทุนในประเทศจะยังคงเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยประเด็นที่สร้างความั่นใจให้นักลงทุนค่อนข้างเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนนูญในคดียุบพรรคการเมือง
ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลที่แม้ว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกทางเศรษฐกิจอาจจะสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของรัฐบาลมากกว่ารัฐบาลในชุดที่ผ่านมา
"ตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อาจจะสะท้อนได้ว่ารอบแห่งขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย กลไกทางเศรษฐกิจกลับเข้ามาสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง"แหล่งข่าวกล่าว
โบรกฯ เตรียมปรับเป้าดัชนี
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีรุนแรงจนอาจจะทำเกิดการขายทำกำไรออกมา สอดคล้องกับตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างรุนแรง
ทั้งนี้ หุ้นหลายบริษัทราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจนราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ การเลือกลงทุนของนักลงทุนจึงควรเลือกหุ้นที่ราคาที่ซื้อขายยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานของบริษัท เพราะอาจจะมีการปรับฐานของตลาดหุ้นในช่วงเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ 765 จุด พีอีเรโชอยู่ที่ 12 เท่า โดยอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับเพิ่มดัชนีอีกครั้งแต่จะต้องดูสถานการณ์ทางการเมืองประกอบว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด
ขอลุ้นตลาดหุ้นไทยขึ้นต่อ
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 11% ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยคาดว่าแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยแนวโน้มทางเทคนิคดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 800 จุด แต่ระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร จากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง และยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ภูมิภาค สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ 760 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า นักลงทุนคลายความกังวลและลดความกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศทำให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยมีค่าP/E เฉลี่ยอยู่ที่ 10 เท่า ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีค่าP/E เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 10 เท่า ประกอบกับผลตอบแทนที่ได้จากตลาดหลักทรัพย์สูงถึง 3.9% ซึ่งให้ผลตอบแทนเท่ากับพันธบัตรอายุ 10 ปี ทั้งนี้ในส่วนตัวมองว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 840 จุด เนื่องจากภาวะการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นและเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้แน่นอน ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น
หุ้นฟื้นปลุกตลาดไอพีโอ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นเชื่อว่าจากนี้บริษัทที่เตรียมที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการเลื่อนการเข้าระดมทุนหลายบริษัทเนื่องจากช่วงภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลกระทบทำให้ราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาระดมทุนมากขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกิจการที่เป็นรัฐวิสาหกิจยังคงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาล
สำหรับประเด็นที่นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติสนใจสอบถามหลังจากไปโรดโชว์ทั้งในสหรัฐอเมริการและยุโรป ส่วนใหญ่ยังเป็นประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งตลท.ได้ชี้แจงถึงความมั่นใจว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงสิ้นปี
จับตา"นอมินี"เปลี่ยนชื่อ
นายเอกยุทธ อันชัญบุตร นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า หลังมติตุลาการรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรไทยรักไทยเชื่อว่าการนำบริษัทของกลุ่มทุนทางการเมืองเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์น่าจะเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่ากลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาจะมีนโยบายอย่างไร แต่เชื่อว่าแม้ว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะทำให้เกิดรัฐบาลใหม่นักลงทุนรายใหญ่ก็ยังคงจะอยู่กับตลาดหุ้นต่อไป
ทั้งนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่เคยเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามกระแสทางสังคมและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อกลุ่มตัวแทน (นอมินี) เข้ามาซื้อขายเพื่อสลัดภาพการเป็นตัวแทนของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่กลุ่มเดิมๆ
"ส่วนตัวมองว่าถ้ายังมีข่าวให้เล่นในตลาดหุ้นนักลงทุนที่หาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะหยุดการซื้อขายหุ้น แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจขึ้นมา"นายเอกยุทธกล่าว
อย่าประมาทตลาดหุ้นจีนกระทบ
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนวานนี้ (4 มิ.ย.50) กว่า 8% ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุของการปรับลดเนื่องจากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจึงทำให้นักลงทุนขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงแต่จากเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะน่าเม็ดเงินจากต่างชาติโยกย้ายเข้าสู่ตลาดอื่นมากขึ้น
นอกจากนี้ ความกังวลต่อค่าเงินหยวนที่อาจจะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งถ้าเกิดลดลงเกิดมาจากปัจจัยดังกล่าวจะกลายเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียนขณะนี้ ส่วนหนึ่งเข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งถ้าค่าเงินหยวนไม่แข็งค่าขึ้น ก็น่าจะทำให้สกุลเงินอื่นทั่วภูมิภาคไม่แข็งค่าขึ้นตาม แล้วจะกลายเป็นปัจัยที่เป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นได้
|
|
 |
|
|