"จุฑานาวี" มั่นใจกำไรปีนี้สูงกว่าปีก่อนที่กำไร 191 ล้านบาท สวนทางรายได้ลด เหตุรับรู้กำไรจากการขายเรือ-ค่าระวางเรือเพิ่ม-ค่าใช้จ่ายลด พร้อมเตรียมแผนปรับอัตราค่าเช่าเรือเพิ่มอีก 10% หลังจากหมดสัญญาเช่าในเดือนส.ค.-ก.ย.นี้

นายชเนศร์ เพ็ญชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA เปิดเผยว่า ในปี 2550 นี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ลดลงเหลือประมาณ 670 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 802 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงจำนวนวันเดินเรือลดลงหลังจากที่บริษัทได้ขายเรือออกไป 1 ลำทำให้เหลือเรือรวม 6 ลำ รวมทั้งมีเรือจะต้องเข้าอู่ซ่อมแซมอีก 2 ลำประมาณเดือนสิงหาคมและเดือนกันกันยายนี้ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาซ่อมประมาณ 1 สัปดาห์ต่อลำ

ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้จะปรับตัวลดลงแต่กำไรจะปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 191 ล้านบาท เพราะบริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายเรือลำดังกล่าวประมาณ 70 ล้านบาท ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มปรับตัวดลงจากไตรมาสแรกมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 92.84 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ค่าใช้จ่าย 124.81 ล้านบาท หรือลดลง 26%

พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะซื้อเรือที่ผ่านการใช้งานแล้วชดเชยเรือที่ขายออกไป โดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินทุนหมุนเวียนและกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันนโยบายของสถาบันการเงินต้องการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจต่างประเทศ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2550 บริษัทคาดจะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 97.25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง และค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 40% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 36%

"บริษัทเตรียมแผนที่จะปรับราคาค่าเช่าเรือที่จะหมดอายุสัญญาเช่าในเดือนสิงหาคม-เดือนตุลาคมนี้จำนวน 2 ลำเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6,500 เหรียญสหรัฐต่อลำต่อวัน เนื่องจากค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น"

สำหรับความคืบหน้าการสั่งต่อเรือใหม่จากบริษัท Higaki Shipbuilding CO., Ltd., lmbari ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 1 ลำนั้น บริษัทจะได้รับส่งมอบเรือในเดือนกันยายน 2552 นี้ โดยเรือดังกล่าวเป็นเรือขนส่งสินค้าทั่วไป ขนาดประมาณ 11,700 เดทเวทตัน งบลงทุนรวม 16.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีแหล่งเงินทุนจากการกู้เงินจากสถาบันการเงิน 80% และกระแสเงินทุนหมุนเวียน 20% ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 2-3 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 เท่า