Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน31 พฤษภาคม 2550
หุ้นเด้งรับคดียุบพรรคยุติทำสถิติใหม่สูงสุดรอบ 5 เดือน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange




สถาบัน-ตปท. ลุยเก็บหุ้นเพิ่มหลังความกังวลคดียุบพรรคมีความชัดเจนมากขึ้น ยังไม่หมดห่วงสถานการณ์ที่จะตามมาชี้หากเกิดความรุนแรงตลาดหุ้นรูดแน่ ขณะที่ดัชนีทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน "ภัทรียา" ระบุกองทุนต่างชาติติดตามประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หวังเลือกตั้งเกิดขึ้นในสิ้นปี ด้าน "ก้องเกียรติ" ระบุฝรั่งมีทางเลือกเยอะ ไม่แคร์ปัญหาการเมืองไทย โบรกเกอร์ ชี้ยังไม่กลายกังวล ระบุ 2 แนวทางหากไม่มีการประท้วงดัชนีจ่อทดสอบ 750 จุด ขณะที่หากเกิดปัญหาดัชนีรูดแตะ 710 จุด

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (30 พ.ค.) ดัชนีเปิดตลาดในแดนลบก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามา เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าสถานการณ์ที่สร้างความกังวลโดยเฉพาะจากประเด็นการวินิจฉัยคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลต่อการขึ้นลงของดัชนีในช่วงที่ผ่านมาจะมีความชัดเจนหลังตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประกอบกับระหว่างวันไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 737.40 จุด เพิ่มขึ้น 9.621 จุด หรือ 1.32% ซึ่งจุดสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 739.36 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดอยู่ที่ 725.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,534.86 ล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนกว่า

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 938.53 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 648.91 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,587.44 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญหลังคำตัดสินกรณีพรรคประชาธิปัตย์ ว่า คำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นและมีความคาดหวังมากขึ้นเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในภายในสิ้นปีนี้ โดยเรื่องดังกล่าวนักลงทุนต่างชาติมีการสอบถามค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ ประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนักมากที่สุด คือความชัดเจนในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยระหว่างนี้จะต้องพิจารณาเรื่องการลงประชามติเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร

สำหรับการประเมินการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติหลังได้ร่วมนำเสนอข้อมูลให้กับผู้จัดการกองทุน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องการเข้ามาเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่จากการสอบถามเชื่อว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทย หากสถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางบวก

"ผลที่ออกมาสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีการยุบพรรคการเมืองน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แต่หากมีการยุบพรรคการเมืองหรือเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในการลงทุน"นางภัทรียากล่าว

อย่างไรก็ตาม การหยุดการซื้อขาย 1 วัน เนื่องจากเป็นวันวิสาขบูชาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทำให้นักลงทุนสามารถประเมินคำวินิจฉัยได้อย่างละเอียดว่าจะกลับเข้ามาหรือเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนหรือไม่อย่างไร

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยให้น้ำหนักกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมีทางเลือกหลายอย่างกับการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนตลาดหุ้นไทย ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหากเกิดปัญหาภายในประเทศไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมากนัก

นอกจากนี้ มุมมองของนักลงทุนต่างชาติกับการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ใดที่หนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบหากพื้นฐานของตลาดหุ้นนั้นๆไม่เปลี่ยนแปลงมาก

ตปท.เมินคำตัดสินยุบพรรค

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรคำวินิจฉัยตัดสินคดียุบพรรคการเมืองของตุลาการรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าคำตัดสินจะออกมาภายหลังตลาดหลักทรัพย์ปิดการซื้อขายก็ตามตลาดจะปิดทำการซื้อขายก่อนคำตัดสินจะสิ้นสุด ซึ่งหากคำตัดสินชี้ออกมาเป็นที่เกินความคาดหมายตลาดก็พร้อมที่จะปรับลดลง

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหากคำตัดสินสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย แต่หากไม่มีการประกาศให้ยุบพรรคการเมืองใด ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดแต่ปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งน่าจะทำให้มีการไหลเข้ามาเพิ่มของนักลงทุนต่างชาติ โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการเมืองในประเทศไทยมากนัก แต่จะให้ความสำคัญต่อการลงทุนในภูมิภาคมากกกว่า ซึ่งตราบใดที่การลงทุนในตลาดหุ้นอื่นดี นักลงทุนต่างก็ยังจะลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นในวานนี้ เป็นปัจจัยภายในประเทศมากที่สุดเพราะตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเลย โดยนักลงทุนต่างชาติและสถาบันภายในประเทศยังคงเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนกระแสกับตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนหลังรัฐบาลจีนประกาศปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์จาก 0.1% เป็น 0.3% เพื่อลดความร้อนแรงจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

"การประกาศยุบพรรคการเมืองทำให้นักลงทุนแบ่งความคิดออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มองว่า ปัจจัยทางการเมืองผ่านจุดพีคไปแล้ว และต่อจากนี้คงจะไม่แย่ไปกว่านี้ หรือเสี่ยงมากกว่านี้ในขณะที่อีกกลุ่มมองว่าเป็นการเริ่มต้นของความยุ่งยากที่จะตามมา ซึ่งใครมองว่าน่าลงทุนก็เข้ามาซื้อ แต่ใครที่มองว่าเกิดความเสี่ยงก็จะขายออกมา"นายอดิพงษ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นยังเป็นตัวที่ช่วยหนุนอยู่ และในระยะสั้นสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ได้ โดยการเข้ามาลงทุนควรจะมองปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ

ลุ้นปัจจัยนอกประเทศ

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ในช่วงการตัดสินคดียุบพรรคไม่น่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้มีการเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐาน เช่น กลุ่มพลังงาน สื่อสาร ธนาคารจึงทำให้ดัชนีฯ ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลง จากที่ตลาดหุ้นจีนได้มีการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันศุกร์นี้ คาดว่าเรื่องการยุบพรรคการเมืองจะไม่มีผลกับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ตลาดหุ้นมีการรับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเชื่อว่านักลงทุนจะมีการเทขายทำกำไรหุ้นออกมาจากที่ผ่านมาดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์นี้จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งหากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวลดลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะมีการปรับตัวลดลงแรก โดยมองแนวรับที่ระดับ 720-725 จุด แนวต้านที่ระดับ 744 จุด

ทั้งนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมา และควรที่จะเลือกซื้อหุ้นที่มีกำไรในปี 2550 ในระดับที่เพิ่มขึ้น 10-20% และมีP/Eไม่เกิน9 เท่า เช่น บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ CCETที่มีผลกำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น 30% ขณะที่มีค่าP/E เพียง 7 เท่า

ดัชนีจ่อวิ่งทะลุ 750 จุด

นางสุภากร สุจิรัตรวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า หลังจากนี้ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือการชุมนุมประท้วงที่รุนแรงขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากอัตราการเติบโตของดัชนีตลาดฯในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นจนทำลายสถิติหลายครั้งติดต่อกัน

ทั้งนี้กลุ่มนักลงทุนที่เคยเข้ามาลงทุนในตลาดอื่นในภูมิภาคอาเซียน น่าจะย้ายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดหลักทรัพย์เพียงไม่กี่แห่งในภูมิภาคนี้ที่ดัชนียังมีอัตราการเติบโตที่ไม่สูง ทำให้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน

"ในสัปดาห์หน้ามีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 750 จุดได้ โดยบริษัทแนะนำให้ "เก็งกำไร" ในกลุ่มธนาคาร ที่ดัชนีน่าจัขยับตัวสูงขึ้นได้มากกว่านี้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น"นางสุภากรกล่าว

โบรกฯ ยังไม่หมดห่วง

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า หลังจากนี้ดัชนีจะเคลื่อนไหวในลักษณะไหนขึ้นอยู่กับเหตการณ์ความไม่สงบที่จะเกิดขึ้น โดยถ้าไม่เกิดสถานการณ์ความรุนแรง ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าในระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นถึงระดับ 770-780 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่อยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจากการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าตลาดในประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่ยังชะลอการเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้เพราะรอความชัดเจนเรื่องการเมือง

ส่วนในกรณีที่เกิดความไม่สงบนั้น การปรับตัวลดลงของดัชนีก็จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยถ้าเกิดความรุนแรงแค่เพียงการชุมนุมประท้วงต่อต้านเท่านั้น หุ้นน่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยคาดการณ์ว่าจะลดลงไม่เกิน 710 จุด แต่ถ้าสถานการณ์ออกมาในลักษณะเลวร้าย หรือเกิดการนองเลือด หรือรัฐประหารซ้อนอีกครั้ง ดัชนีก็น่าจะปรับตัวลดลงในอัตราที่มากกว่านั้น

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า หลังจากนี้ปัจจัยทางการเมืองต่อไปที่นักลงทุนจะจับตามอง คือการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ว่าจะสามารถเสร็จสิ้นตามกำหนดหรือไม่ แต่ในระยะสั้นหุ้นที่จะปรับตัวขึ้นน่าจะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มพลังงาน ที่ได้รับปัจจับบวกจากราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้แม้ว่าปัจจัยในประเทศจะสงบมากขึ้น และกลับสู่ภาวะปกติแต่การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้น จากปัจจัยเรื่องความผันผวนในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us