|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ธุรกิจขายตรงวิกฤติรอบ 10 ปี ปีนี้โตไม่ถึง 10% ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์เพิ่มสมาชิกแทนยอดขาย “มิสทิน”เดินหน้าเพิ่มสมาชิก 7 แสนคน โอดรอบซื้อสินค้าต่อครั้งลดลง 10% แถมหนี้ค้างชำระพุ่ง 20% ล่าสุดพบสัญญาณอัตราการว่างงานเพิ่ม สาวไทยแห่สมัครสมาชิกขายตรงเป็นอาชีพหลักพุ่งขึ้น 10% แตกแบรนด์เมลาเคลียร์บุกสกินแคร์ สิ้นปีผลประกอบการโต 7% กวาด 8,000 ล้านบาท
นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงชั้นเดียวภายใต้ชื่อมิสทิน เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 10% นับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยมากในรอบ 10ปีหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยปกติธุรกิจขายตรงมีอัตราการเติบโตมากกว่า 10% ทุกปี ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ความไม่มั่นคงทางการเมือง กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย โดยพบว่าผู้หญิงซื้อเครื่องสำอางใช้น้อยลง
สำหรับสัญญาณที่บ่งชี้ว่าธุรกิจขายตรงชะลอตัวลง เริ่มตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสองหรือตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่าน ยอดขายของมิสทินลดลง 10% จากเดิมที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าต่อครั้งอยู่ที่ 1.5 พันบาท ก็ลดเหลือ 1.3-1.4พันบาทต่อครั้ง อีกทั้งยังมีการค้างการชำระค่าสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่อยู่ในระดับ 2% เพิ่มเป็น 2.2% หรือมีการค้างชำระเพิ่ม 20% สูงที่สุดในการดำเนินธุรกิจในรอบ 2ปี ซึ่งกลยุทธ์การติดตามหนี้ที่ค้างชำระรวม บริษัทจัดทำโปรโมชันให้ส่วนลดแก่สาวมิสทิน ที่มีการชำระเงินค่าสินค้าตามระยะเวลากำหนด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้อัตราการว่างงานของผู้หญิงเพิ่มขึ้น 9-10% นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้สนใจมาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายเป็นอาชีพหลักมากกว่าอาชีพเสริม โดยสาวมิสทินในครั้งนี้ส่วนใหญ่ที่เข้ามากรอกใบสมัคร สนใจทำอาชีพหลักเพิ่มขึ้นถึง 10% จากเดิมที่จะทำอาชีพขายตรงเป็นรายได้เสริม
ขายตรงสร้างยอดสมาชิกแทนสินค้า
นายดนัย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจขายตรงปี แต่ละบริษัทหันมาเน้นการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายมากกว่าเน้นยอดขายจากสินค้า เนื่องจากกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง สำหรับของบริษัทปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายจาก 6 แสนคน เป็น 7 แสนคน เพื่อช่วยในเรื่องของการขายสินค้าลงสู่รากหญ้าในวงกว้างให้มากขึ้น เพื่อทดแทนกับรายได้ต่อรอบการซื้อที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ โดยผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 7% นับว่าเป็นการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในรอบหลายปี โดยคาดว่ารายได้เพิ่มจาก 7,000 ล้านบาท เป็น 8,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโต 30% และไตรมาสที่สองโตเพียง 10%
ปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดสกินแคร์
ล่าสุดบริษัทได้ขยายไลน์สินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์”เมลาเคลียร์” วางโพซิชันนิงเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับใบหน้า เน้นเรื่องการปกป้องและรักษา เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบีลงมา โดยแผนทางการตลาดบริษัทจะเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทาฝ้าเป็นหลักในช่วง 1-2 ปีนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพแม้ว่าตลาดจะมีมูลค่า 600 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 20% หรือมีมูลค่า 800 ล้านบาท นำร่องด้วยการทุ่มงบ 35 ล้านบาท เปิดตัวครีมทาฝ้าเมเลเคลียร์ วางราคา 199-359 บาท ถูกกว่าสินค้าคู่แข่งได้แก่ อเมลาเอ็กซ์ ยูเซอรีน และสมูทอี 30% จำหน่ายผ่านสมาชิกมิสทิน ร้านขายยา 400 แห่ง และร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา โดยในปีแรกตั้งเป้ามียอดขาย 135 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรวม ขณะที่ในไตรมาสที่สี่ปีนี้เตรียมเปิดตัวสินค้าภายใต้เมลาเคลียร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอย
|
|
 |
|
|