PTL ทุ่มงบ 351 ล้านบาท เพิ่มสายการผลิต Metallised Film ในไทยและตุรกี พร้อมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอัตราหุ้นละ 17 สตางค์ กำหนดจ่าย 17 สิงหาคมนี้ พร้อมเรียกประชุมผู้ถือหุ้น 27 กรกฎาคมนี้
นายมานิตย์ กุปต้าร์ กรรมการ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PTL) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2550 ของบริษัท ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติเพิ่มสายการผลิต Metallised Film ของบริษัท คิดเป็นเงินลงทุนของโครงการโดยประมาณ 6,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ(หรือคิดเป็นเงิน 210 ล้านบาท คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 35.00 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) จากการใช่อัตราแลกเปลี่ยนสูงสุดคำนวณ(นั่นคือ มูลค่ารวมของสิ่งที่จ่ายไปหารสินทรัพย์รวม) ซึ่งมีขนาดของการดำเนินการน้อยกว่า 15%
พร้อมกับเพิ่มสายการผลิต Metallised Film ที่ Polyplex Europa Polyester Film Sanayi ve Ticaret Anonim Sirketi (PE) ในตุรกี คิดเป็นเงินลงทุนของโครงการทั้งสิ้นจำนวน 3,000,000 เหรียญยูโร (หรือคิดเป็นเงิน 141 ล้านบาทคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 47 บาทต่อ 1 เหรียญยูโร) จากการใช้อัตราแลกเปลี่ยนสูงสุดคำนวณ (นั่นคือ มูลค่ารวมของสิ่งที่จ่ายไปหารสินทรัพย์รวม) ซึ่งมีขนาดของการดำเนินการน้อยกว่า 15%
นอกจากนี้ บอร์ดยังอนุมัติจัดสรรเงินกำไรที่เหลือจากการกันเป็นทุนสำรองตามกฎหมายให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2550 ณ เวลา 12.00 น. ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท และกำหนดจ่าย เงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 17 สิงหาคม 2550
ทั้งนี้ เป็นผลจากการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ของบริษัท สิ้นสุด 31 มีนาคม 50 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 341.84 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 560.97 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงจาก 70 สตางค์เหลือ 43 สตางค์ หรือกำไรสุทธิลดลงคิดเป็น 39.0%
แม้ว่าไตรมาสนี้บริษัทและบริษัทย่อยมียอดรายได้รวม 4,808.83 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เป็นเงิน 1,381.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 40.3% และรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายของบริษัทย่อยในประเทศตุรกีและอเมริกา ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัท(ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) 4,380.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,543.07 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 54.39%
เนื่องมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น (สาเหตุมา จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น) ค่าไฟฟ้าและเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่สูงขึ้นของบริษัทย่อย ค่าใช้จ่ายทางการเงินระหว่างปี 80.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.23 ล้านบาท เนื่องมาจากดอกเบี้ยของเงินกู้ยืมระยะยาวในบริษัทและบริษัทย่อยในตุรกี ผลของการลดลงของราคาขายกับสภาพตลาดในช่วงครึ่งปีแรก และการเพิ่มขึ้นของ ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายทางการเงิน ทำให้ยอดกำไร สุทธิรวมของบริษัทลดลง 219.13 ล้านบาท
พร้อมกับแต่งตั้ง นายมนู เลียวไพโรจน์ และนายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ซึ่งเป็นกรรมการที่ต้องออกจากตำแหน่งตามวาระ กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทอีกวาระหนึ่ง และแต่งตั้ง นายณรงค์ พันตาวงษ์ (ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เลขที่ 3315)และ/หรือ นายศุภชัย ปัญญาวัฒโน (ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขที่ 3930) และ/หรือนางสาวศิราภรณ์ เอื้ออนันต์กุล (ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขที่ 3844) แห่งบริษัท สำนักงาน เอินส์ท แอนด์ ยัง จำกัด เป็นผู้สอบบัญชีของบริษัท
กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2550 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นจะแล้วเสร็จ เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2550 และกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2550 ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2550 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม โรงแรมแรม แบรนดท์ ซอยสุขุมวิท 18 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ ตามระเบียบวาระการประชุม
|