Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2550
เมื่อการศึกษาคือสินค้าส่งออก             
โดย ชาคริต เทียบเธียรรัตน์
 


   
search resources

Education




หากพูดถึงสินค้าของประเทศนิวซีแลนด์ ท่านผู้อ่านหลายท่านคงทราบกันดีว่า สินค้าที่ทำรายได้ให้กับประเทศนิวซีแลนด์อย่างเป็นรูปธรรมนั้นคือสินค้าทางการเกษตร เช่น ไวน์ ไม้แปรรูป นมเนยแข็ง ขนแกะ และเนื้อวัว นอกจากนี้สินค้าอีกสองชนิดที่ทำรายได้มหาศาลให้รัฐบาลกีวีคือ การท่องเที่ยวและการศึกษา จากข้อมูลในปี 2005 การศึกษาได้นำเงินเข้าประเทศนิวซีแลนด์ถึง 2 พันล้านเหรียญ หรือ 6 หมื่นล้านบาททีเดียว ซึ่งสูงกว่าสินค้าส่งออกหลักในอดีต เช่น การประมงเสียอีก

เนื่องจากประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และอังกฤษวางรากฐานด้านการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมถึงอุดมศึกษา โดยพวกเขามีความเชื่อกันว่าจะทำให้นิวซีแลนด์เป็นอังกฤษใหม่ทางซีกโลกใต้ รัฐบาลนิวซีแลนด์จึงนำมรดกดังกล่าวมาเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจนิวซีแลนด์เอง ทำให้มีนักเรียนจากหลายประเทศ ทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป มาศึกษา

ในระดับอุดมศึกษานั้นนิวซีแลนด์มีสถาบันทั้งหมด 25 แห่ง คิดเป็นมหาวิทยาลัย 8 แห่ง และสถาบันเทคโนโลยีอีก 17 แห่ง โดยมหาวิทยาลัยชั้นนำ 4 แห่งคือ University of Auckland, University of Canterbury, Victoria University, University of Otago ซึ่งต่างได้ผลิตบุคลากรชั้นนำของนิวซีแลนด์และบางท่านก็เป็นบุคคลสำคัญของโลก เช่น Lord Ernest Rutheford (Canterbury), Helen Clark (Auckland), Sir William Pickering (Canterbury), Lord Robin Cooke (Victoria), Dame Silvia Cartwright (Otago)

สำหรับการจัดอันดับและการจัดสรรงบประมาณพิเศษในการวิจัย รวมถึงเงินโบนัสของมหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์นั้นจะใช้ผลงานวิจัยเป็นตัววัด โดยเรียกว่าระบบPerformance Based Research Fund (PBRF) ซึ่งได้วัดจากจำนวนผลงานวิจัยต่อจำนวนอาจารย์เช่นเดียวกันกับคุณภาพของงานและนิตยสารที่ได้ตีพิมพ์ ตรงจุดนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มหาวิทยาลัยของนิวซีแลนด์อยู่ในอันดับที่ค่อนข้างดีจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก จาก Research University Report ของ LSE หรือ THES

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศนิวซีแลนด์ได้เปิดกว้างในการรับนักเรียนนักศึกษาจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางการศึกษาในประเทศในเครือจักรภพคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และอังกฤษ นั่นคือได้ปฏิรูปการบริหารสถาบันศึกษา กล่าวคือ มหาวิทยาลัยหลายต่อหลายแห่งจำเป็นต้องอยู่ด้วยตนเองแทนที่จะพึ่งการสนับสนุนจากรัฐบาล

นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปิดกว้างขึ้นในการรับนักศึกษาจากโครงการที่รัฐบาลไม่ได้ให้เงินสนับสนุน ตรงนี้เป็นข้อแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยในอเมริกา กับมหาวิทยาลัยในเครือจักรภพ กล่าวคือ มหาวิทยาลัยในอเมริกานั้นจะมีเครือข่ายธุรกิจ ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยในการวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจนั้นๆ หรือไม่ก็มาจากเครือข่ายของสมาคมศิษย์เก่าซึ่งให้ทั้งทุนการวิจัยและทุนการศึกษา ในทางกลับกันประเทศในเครือจักรภพนั้นจะไม่ค่อยมีบริษัท ให้การสนับสนุนการศึกษาเนื่องจากว่า ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมารัฐบาลของประเทศนั้นๆ จะให้การสนับสนุนการศึกษาและการวิจัยเอง

นอกจากนี้สมาคมศิษย์เก่าก็ไม่ค่อยได้ทำเครือข่ายในการแจกทุนวิจัยมาก่อนจึงต้องเริ่มปรับตัวกันใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์นั้นมหาวิทยาลัยหลายแห่งจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเข้ากับการเปลี่ยน แปลงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นมากขึ้นในการเปิดรับนักศึกษาจากต่างประเทศ

ผมจำได้เป็นอย่างดีว่าในช่วงกลางของทศวรรษ 1990 ขณะที่รัฐบาลยังคงสนับสนุนมหาวิทยาลัยของรัฐอยู่นั้น มหาวิทยาลัยชั้นนำสี่แห่งของเมืองกีวี มักจะไม่ค่อยสนใจในการรับนักศึกษาจากต่างประเทศ และการเข้าเรียนจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก จนบางแห่งโดนค่อนแคะไปว่าเป็นมหาวิทยาลัยคนขาว ขณะที่ทุกวันนี้การรับนักศึกษาจากต่างประเทศง่ายกว่าเดิมมากและมีขั้นตอนการช่วยเหลือตั้งแต่คอร์สภาษาอังกฤษไปจนถึงคอร์สเพื่อเตรียมตัวเข้าศึกษาทีเดียว ในสมัยที่ผมศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีนั้น ห้องเรียนวิชารัฐศาสตร์จะมีคนเอเชียอยู่ราวๆ 5-7 คนจากนักเรียนทั้งหมดกว่า 200 คน แต่เมื่อผมกลับมาช่วยสอนในวิชาเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน ผลปรากฏว่านักศึกษาเอเชีย เพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัว คือ 35-40 คนทีเดียว จากการสอบถามอาจารย์ท่านอื่นจึงทราบมาว่าในบางคณะ เช่น พาณิชย์ และบริหาร ธุรกิจนั้น นักเรียนเอเชียเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งอยู่ที่ราวๆ 10% ไปเป็น 40% ของชั้นเรียนทีเดียว

แต่ทั้งนี้ค่าเล่าเรียนของนักศึกษาต่างประเทศเองก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะจากเดิมนั้นมหาวิทยาลัยจะเก็บค่าเล่าเรียนประมาณ 11,000 เหรียญ ซึ่งนักศึกษากีวีจ่ายอยู่ที่ 3,500 เหรียญ และรัฐบาลสนับสนุนอีก 7,500 เหรียญต่อปี ทำให้ราคาค่าเล่าเรียนของนักศึกษาต่างประเทศในยุคนั้นไม่สูงมากนัก แต่ทุกวันนี้ นักศึกษากีวีจ่ายที่ 4,000 เหรียญ แต่เมื่อรัฐบาลลดการสนับสนุนลง ค่าเล่าเรียนนักศึกษาต่างประเทศจึงสูงขึ้นไปอยู่ที่ 18,000 ถึง 26,000 เหรียญ แต่ถ้านำไปวัดกับประเทศอังกฤษ หรือออสเตรเลียแล้ว นิวซีแลนด์ก็ยังคงนับว่าอยู่ในราคาที่ถูกกว่ามาก ยกเว้นแต่การเข้าศึกษาในระดับปริญญาเอกยังคงรับยากเหมือนเดิมเนื่องจากยังเป็นโครงการที่รัฐบาลสนับสนุน ทำให้นักศึกษานิวซีแลนด์และต่างประเทศจ่ายค่าเล่าเรียนในอัตราเดียวกันคือ 3,934 ดอลลาร์ต่อปี และรัฐบาลกีวีจะจ่ายส่วนต่างให้ เพราะว่ารัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนนักศึกษาที่จะเข้ามาทำการวิจัยให้กับประเทศนิวซีแลนด์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่า นโยบายดังกล่าวนิวซีแลนด์ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเพราะว่านักเรียนโดยมากแทบจะเรียกว่า ร้อยละ 90 นั้นคือระดับมัธยมศึกษาและปริญญาตรี ขณะที่ในระดับปริญญาเอก ซึ่งเน้นการวิจัยและการตีพิมพ์ของนักศึกษา เป็นหลักนั้นเขาจะได้ผลงานวิจัยมาเพื่อเอาไปนำเสนอในนามสถาบันเป็นสิ่งตอบแทน

นโยบายการส่งออกการศึกษานั้น ในอดีตอาจจะทำเพื่อให้สถาบันหลายแห่งอยู่ได้ด้วยตนเองแต่ในยุคที่เป็นการค้าเสรีในปัจจุบัน สถาบันหลายแห่งเริ่มก้าวไปไกลกว่าการหาเงินเพื่อยังชีพแต่ปรับนโยบายเป็นการทำกำไรให้กับสถาบันทีเดียว ผมขอยกตัวอย่างสามสถาบันที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยโอคแลนด์ ซึ่งมีนักศึกษาจากต่างประเทศสูงถึง 13.75% หรือ 5,500 คนจากนักศึกษาทั้งหมดราวๆ 40,000 คน ขณะที่มหาวิทยาลัยแคนเทอเบอรี่ มีนักศึกษาจากต่างประเทศคิดเป็น 11.43% ในปีนี้เป็น 2,000 คน จากนักศึกษาทั้งหมด 17,500 คน มหาวิทยาลัยวิกตอเรียแสดงตัวเลขนักศึกษานานาชาติที่ 20% หรือ 4,000 จากนักเรียนทั้งหมด 20,000 คนทีเดียว ซึ่ง 80% ของนักศึกษาทั้งหมด มาจากทวีปเอเชียนั่นเอง

ปัจจุบันการศึกษาถือเป็นการส่งออกที่ทำกำไรอัตราแลกเปลี่ยนให้กับประเทศนิวซีแลนด์ในอันดับที่สี่ ขณะที่อัตราเติบโตของตลาดการศึกษาโลกนั้นอยู่สูงถึง 19% และมีมูลค่าโดยรวมถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ทีเดียว ขณะที่นิวซีแลนด์มองว่าการได้ ส่วนแบ่งแค่ 2 พันล้านในปัจจุบันเป็นการชี้ว่าตลาดการศึกษาของเมืองกีวีนั้นยังขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะการที่อดีตยักษ์หลับอย่างจีนแดงได้ตื่นขึ้นมาแล้วนั้น การขยายการส่งออกการศึกษาไปต่างประเทศนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us