Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2536








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2536
"ธุรกิจแพขนานยนต์มุกดาหารวันที่ยังไม่มีสะพานข้ามโขง"             
 


   
search resources

ที.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์
ตระกูลพาณิชย์
Investment




มุกดาหาร จังหวัดริมโขงที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองสะหวันนะเขตของลาว เป็นจุดขนส่งสินค้าเข้าออกประเทศลาวที่สำคัญจุดหนึ่ง ธุรกิจแพขนานยนต์ข้ามโขง ก็เลยกลายเป็นกิจการที่มีบทบาทสำคัญ 22 ปีก่อนตระกูลกุลตังวัฒนา ริเริ่มธุรกิจขนส่งข้ามโขงขึ้นเป็นรายแรก การเสียชีวิตของเขาเมื่อสองปีที่แล้ว การเปลี่ยนแปลงระบบขนส่ง และการเข้ามาของ ที. แอล. เอนเตอร์ไพร้ส์ ทำให้โฉมหน้าของธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก แพขนานยนต์ของ "ตระกูลพาณิชย์" ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประกอบการรายเดียวอีกต่อไปแล้ว หากเส้นทางหมายเลข 9 ของลาวที่ไปถึงเมืองดานังในเวียดนามได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และสะพานข้ามโขงที่มุกดาหารเป็นแค่ข่าวปล่อยเพื่อปั่นราคาที่ดิน ธุรกิจแพขนานยนต์ที่มุกดาหารก็จะร้อนกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่

เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2534 ตระกูล กุลตังวัฒนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "เสี่ยตุ่น" วิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย ตามถนนสำราญชายโขงในเมืองมุกดาหาร ตามกิจวัตรที่เคยปฏิบัติมานาน พลันเสียงปืนดังขึ้น ร่างเสี่ยตุ่นฟุบนอนจมกลางเลือดอยู่กลางถนน สิ้นใจตายโดยไม่มีโอกาสได้ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือสังหารเขา และด้วยเหตุผลใด สองฝั่งแม่น้ำโขงเมืองมุกดาหารของไทยและเมืองสะหวันนะเขตของลาว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเสี่ยตุ่น เขาเป็นคนเมืองหนองคายแต่ไปตั้งรกรากทำมาหากินที่มุกดาหาร แต่งงานกับสาวชาวมุกดาหาร ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคนปัจจุบัน ซึ่งก็มีภูมิหลังเป็นคนพื้นเพทางเมืองมุกดาหารเช่นกัน

ประชาชนสองฝั่งโขงไทย-ลาวทำมาหากินและเกี่ยวดองกันมาแต่ไหนแต่ไร การเดินทางข้ามไป-มาระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด ยิ่งในยุคสมัยที่ทั้งสองประเทศปกครองด้วยระบอบเดียวกันก่อนปี 2518 ด้วยแล้ว การเดินทางของประชาชนสองฝั่งโขงเกือบจะไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย ยกเว้นแต่มีแม่น้ำโขงกั้นกลางเท่านั้น

ตระกูล กุลตังวัฒนา ก็เช่นกัน เขามีพื้นเพอยู่มุกดาหารก็จริง แต่ก็ข้ามไปทำการค้าที่เมืองสะหวันนะเขตด้วย ตระกูลมีธุรกิจอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ความจำเป็นในการขนส่งสินค้าทำให้เขาเริ่มกิจการแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงขึ้น ในปี 2514 ใช้ชื่อว่า "ตระกูลพาณิชย์" และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แพขนานยนต์ของตระกูลพาณิชย์ก็ให้บริการขนรถบรรทุก ข้ามไปมา ระหว่างบ้านพี่กับเมืองน้องอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่เคยต้องหยุดดำเนินการลงเลย

ตระกูลทำธุรกิจติดต่ออยู่ทั้งคนไทยและคนลาวทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เขาสนิทสนมและมีเครือข่ายในเมืองสะหวันนะเขตอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะทำบุญคุณเอาไว้กับเมืองมุกดาหารและสะหวันนะเขตมิใช่น้อย โดยมักจะเป็นผู้บริจาครายใหญ่ในกิจกรรมสาธารณะของทั้งสองเมืองเสมอ ๆ

สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นอยู่กับตัวบุคคลที่เป็นเครือญาติกันทั้งสองฝั่งแม่น้ำ แม้ว่าภายหลังลาวจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองไปเป็นประเทศสังคมนิยม ในปลายปี 2518 ความเปลี่ยนแปลงอันนี้ไม่ได้ทำให้ธุรกิจของตระกูลพาณิชย์ต้องสะดุดหยุดลง ทายาทคนหนึ่งในตระกูลพาณิชย์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "เราสัมพันธ์กันแบบเครือญาติไม่เกี่ยวกับลัทธิทางการเมือง คนลาว คนไทยแถบนี้ เขาไม่ได้สนใจหรอกว่า ประเทศทั้งสองปกครองกันอย่างไร เราเป็นญาติกันก็ช่วยเหลือกัน ทำมาหากินด้วยกัน"

แต่การจบชีวิตลงของตระกูลต่างหากที่ทำให้ธุรกิจแพขนานยนต์มีปัญหา เพราะไม่เพียงแต่ตระกูลพาณิชย์จะขาดแกนนำสำคัญในการทำธุรกิจเท่านั้น หากแต่ระบบการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-ลาวที่ตระกูลพาณิชย์เคยชินก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ในเวลาต่อมา ความสูญเสียของตระกูลพาณิชย์ และความเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งครั้งนี้จะเกี่ยวพันกันหรือไม่ ยังไม่มีความกระจ่าง หากแต่คนในตระกูลพาณิชย์ บอกว่า คดีนี้ปิดไปโดยปริยาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเหตุผลแต่เพียงสั้น ๆ ว่า "ไม่อาจทำคดีต่อไปได้ เนื่องจากเบื้องบนสั่งระงับคดี"

เดิมกิจการแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงจะอาศัยหลักการตามการประชุมว่าด้วยการส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างคณะผู้แทนไทย-ลาว ซึ่งทำกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2521 ข้อ 4 ของหลักการดังกล่าวระบุว่า "ฝ่ายลาวจะจัดแพขนานยนต์ของลาวสำหรับขนรถยนต์บรรทุกสินค้าผ่านแดนข้ามแม่น้ำโขงระหว่างท่ารถไฟหนองคาย-ท่านาแล้งได้วันละ 70 คัน"

แต่กิจการแพขนานยนต์ที่มุกดาหารนั้นไม่ได้มีการตกลงกันอย่างชัดเจน หากถือเป็นประเพณีปฏิบัติว่า ให้ฝ่ายไทยเป็นผู้ดำเนินการ ในเวลานั้นมีผู้ประกอบกิจการแพที่มุกดาหารคือ ร.ส.พ. และบริษัทตระกูลพาณิชย์ จรัสศรี คลังสิน หัวหน้ากองสินค้าผ่านแดน ร.ส.พ. กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ในเวลานั้น ร.ส.พ. มีแพอยู่ 3 ลำ ส่วนของตระกูลพาณิชย์มี 6 ลำ ก็ไม่ค่อยเพียงพอนักเนื่องจากมีรถขนสินค้ามากเฉลี่ยแล้วช่วงที่มากที่สุดถึง 300 คัน"

ตระกูลพาณิชย์ได้ดำเนินกิจการแพขนานยนต์โดยการทำสัญญาร่วมกับ ร.ส.พ. แหล่งข่าวในบริษัทตระกูลพาณิชย์เปิดเผยว่า ภายใต้ระบบแบบนี้ทำให้บริษัทมีรายได้แน่นอนชัดเจน เนื่องจาก ร.ส.พ. เป็นผู้ผูกขาดขนส่งสินค้าผ่านแดน และแพของ ร.ส.พ. ก็มีเพียง 3 ลำ สินค้าส่วนใหญ่จึงใช้บริการจากตระกูลพาณิชย์

"เราเสียค่าธรรมเนียมในการประกอบกิจการแก่ ร.ส.พ. เพียงเล็กน้อย ร.ส.พ. มีรถสินค้ามาลงกับเราตลอด นับเป็นธุรกิจที่เกื้อกูลกันอย่างมาก" แหล่งข่าวกล่าว

ระบบนี้ใช้กันมากว่า 10 ปี จนกระทั่งมติคณะรัฐมนตรีไทยเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย-ลาว เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2534 ได้ตัดสิทธิการผูกขาดการขนส่งสินค้าผ่านแดน (TRANSIT CARGO) ขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ออกไป และอนุญาตให้บริษัทใหม่ คือ ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ (1991) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนไทย - ลาว เข้าประกอบการแทน ที. แอล. ไม่เพียงแต่ทำกิจการขนส่งสินค้าผ่านแดนเท่านั้น หากแต่ยังเข้าควบคุมกิจการแพขนานยนต์ และโกดังสินค้าที่ท่านาแล้ง จังหวัดหนองคายอีกด้วย

14 พฤศจิกายน 2534 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ออกจดหมายแจ้งความไปยังเจ้าของสินค้าและผู้ประกอบการสินค้าผ่านแดนไทย - ลาว ทั้งหมดว่าให้ยุติการใช้บริการของ ร.ส.พ. ที่เคยใช้อยู่ หันมาใช้บริการของบริษัท ที. แอล. แทน เนื่องจากยังปรากฏว่ามีการใช้บริการของ ร.ส.พ. ขนสินค้าอยู่ แม้ว่า ร.ส.พ. จะถูกตัดสิทธิไปตามมติ ครม. แล้วก็ตาม

จดหมายแจ้งความดังกล่าวไม่เพียงแต่จะตัดขาดระบบผูกขาดการส่งสินค้าผ่านแดนของ ร.ส.พ. ยังกระทบไปถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องของ ร.ส.พ. อย่างเช่น แพขนานยนต์ก็ต้องยุติลงด้วย แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่ายังมีเจ้าของสินค้าจำนวนหนึ่งยังคงยึดมั่นอยู่กับ ร.ส.พ. โดยว่าจ้างให้ ร.ส.พ. ขนส่งสินค้าผ่านแดนอยู่ต่อไป

วันที่ 24 ธันวาคม 2534 กระทรวงพัวพันเศรษฐกิจกับต่างประเทศ โดย เผ้า บุนนะผน รัฐมนตรีว่าการได้ออกประกาศแจ้งความให้ทุกเขต ทุกแขวงของลาว ว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1992 เป็นต้นไป ให้ยุติ 1) การใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนของ ร.ส.พ. โดยสิ้นเชิง และ 2) ยุติการข้ามไป-มาของแพขนานยนต์และยานพาหนะทุกชนิดของ ร.ส.พ. ที่ขนสินค้าผ่านแดนทั้งขาเข้าและขาออก

คำสั่งนี้กระทบต่อการดำเนินกิจการแพขนานยนต์ของตระกูลพาณิชย์ที่จังหวัดมุกดาหารโดยตรง เนื่องจาก ยังคงมีสัญญาร่วมอยู่กับ ร.ส.พ. และบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพร์ส ได้อาศัยคำสั่งดังกล่าวอ้างอิงในการแจ้งความไปยังบริษัทต่าง ๆ ด้วย ทั้งยังได้ขยายความคำสั่งกระทรวงพัวพันออกไปอีก ทำให้ครอบคลุมการขนส่งสินค้าทุกชนิด ทั้งประเภทนำเข้า-ส่งออก ไม่ได้จำกัดเฉพาะสินค้าผ่านแดนเท่านั้น

อ้างตามความในจดหมายแจ้งความของบริษัท ที. แอล. ซึ่งได้ส่งไปยังเจ้าของสินค้าแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ทางรัฐบาล สปป. ลาวจะไม่อนุญาตให้รถยนต์บรรทุกสินค้า หรือแพขนานยนต์ที่วิ่งในนาม หรือร่วมของ ร.ส.พ. และรถยนต์บรรทุกสินค้าของบริษัท/ห้างอื่น ๆ เข้า สปป. ลาวทุกแขวง นอกจากรถยนต์หรือแพขนานยนต์ที่วิ่งในนามของบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ (1991) จำกัด ซึ่งได้รับหนังสืออนุญาตหรือยินยอมแล้วเท่านั้น"

ตระกูลพาณิชย์มีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ 1)หยุดกิจการ หรือ 2)นำแพทั้งหมดที่มีอยู่ไปวิ่งร่วมกับบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์

แหล่งข่าวในวงการขนส่งในจังหวัดมุกดาหารกล่าวว่า "สถานการณ์ธุรกิจครอบครัวกุลตังวัฒนาตอนนั้นเรียกได้ว่าย่ำแย่ เสี่ยตุ่น (หมายถึงตระกูล) ก็เพิ่งเสียไป กิจการแพขนานยนต์ก็เป็นธุรกิจหลักของครอบครัวที่เขาทำกันมานาน เรื่องที่จะให้หยุดลงเฉย ๆ ก็เป็นไปไม่ได้ ทางเลือกมีอยู่อย่างเดียวต้องร่วมกับ ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์"

ไตรรงค์ กุลตังวัฒนา บุตรชายคนโตของตระกูลผู้รับกิจการแทนพ่อในช่วงแรกจึงตัดสินใจนำแพขนานยนต์ที่มีอยู่ทั้งหมด 6 ลำในเวลานั้นเข้าวิ่งขนส่งรถบรรทุกสินค้าระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต โดยยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของบริษัท ที.แอล.

ภายใต้ระเบียบซึ่งออกประกาศโดยบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพร์ส ผู้ประกอบกิจการแพขนานยนต์ที่ประสงค์จะนำแพขนานยนต์มาวิ่งร่วมบริการจะต้องวางเงินมัดจำ 100,000 บาท และจะต้องจ่ายให้บริษัท ที. แอล. เป็นค่าประกอบการอีกโดยคิดอัตรา 200 บาทต่อรถสิบล้อ 1 คัน

"รูปการณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับผู้คุมคิวมอเตอร์ไซค์คนใหม่ ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีแพเป็นของตัวเอง ไปเช่าของคนอื่นมาวิ่ง ปัจจุบันก็มีอยู่แค่ 2 ลำ เข้ามาคุมกิจการแล้วก็เรียกเก็บค่าหัวคิว มันแย่กว่าคนคุมคิวคนเก่าก็ตรงที่ไม่ได้หาลูกค้ามาให้ แถมลูกค้าที่เราหามาได้เองต้องไปจ่ายค่าหัวคิวให้เขาอีก" แหล่งข่าวในตระกูลพาณิชย์กล่าว

สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้นับปีจึงได้มีความพยายามเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงระบบ โดยระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2535 คณะผู้แทนของกระทรวงคมนาคมไทย เดินทางไปกรุงเวียงจันทน์เพื่อเจรจาเกี่ยวกับเรื่องการขนส่งไทย-ลาวอีกครั้ง

แหล่งข่าวในกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่าในการประชุมกันระหว่างผู้แทนทั้งสองประเทศครั้งนี้มีการยกเรื่องแพขนานยนต์ขึ้นมาหารือด้วย ฝ่ายไทยเห็นว่ากิจการแพขนานยนต์ที่ลาวดำเนินอยู่ที่จังหวัดหนองคายนั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากมีรถยนต์บรรทุกสินค้ารอคอยข้ามอยู่เป็นจำนวนมากนับได้เป็นร้อย ๆ คันต่อวัน

ส่วนกิจการแพขนานยนต์ที่จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งตามหลักปฏิบัติแล้วฝ่ายไทยจะต้องเป็นผู้ดำเนินการตามแนวทางของฝ่ายไทยแล้วจะเปิดเสรีให้บริษัทใด ๆ เข้าดำเนินกิจการก็ได้ หากแต่ในความเป็นจริงยังคงต้องขึ้นอยู่กับบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์

"ฝ่ายลาวเขาโต้แย้งว่า กิจการทุกอย่างอยู่ในมือของคนไทย กิจการแพที่หนองคายดำเนินการในนามของลาวก็จริงอยู่ แต่บริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ก็เป็นบริษัทคนไทย ที่มุกดาหารก็เป็นของไทยอีก ฝ่ายลาวก็อยากจะได้ประโยชน์บ้าง เลยขอว่าหากผู้ใดจะดำเนินกิจการแพขนานยนต์ก็ขอให้ไปจดทะเบียนเป็นบริษัทลาว" แหล่งข่าวซึ่งได้เข้าร่วมประชุมด้วยรายหนึ่งกล่าว

ฝ่ายไทยยอมตามข้อโต้แย้งของลาว ซึ่งก็หมายความว่าลาวสามารถควบคุมระบบการขนส่งข้ามแม่น้ำโขงที่หนองคาย โดยเป็นไปตามข้อตกลงเดิมที่ลาวเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนที่มุกดาหารก็ต้องเข้าอยู่ภายใต้การควบคุมของลาวในทางปฏิบัติ ดังนั้นไม่อาจจะมีผู้ประกอบการรายใดสามารถต่อแพไปวิ่งขนส่งข้ามแม่น้ำโขงได้อย่างเสรีอีกต่อไป เพราะหากไม่ใช่แพซึ่งจดทะเบียนกับแขวงสะหวันนะเขตแล้ว ก็ไม่อาจจะนำแพเข้าเทียบอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขงได้

ข้อตกลงนี้ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับตระกูลพาณิชย์ เพราะเป็นช่องทางให้ออกจากการควบคุมของบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพร์สได้ ด้วยการเข้าไปติดต่อจดทะเบียนเป็นบริษัทของลาวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยยอมเสียภาษีรายได้ให้ลาว 8% ต่อปีเท่านั้น รายจ่ายอื่น ๆ ก็เป็นต้นทุนประกอบการตามปกติ คือค่าเทียบแพที่ฝั่งลาวเที่ยวละ 4 เหรียญสหรัฐ และคนเหยียบแผ่นดินของพนักงานประจำแพและผู้จัดส่งสินค้าหรือติดตามสินค้า 50 บาทต่อคนต่อวัน

ปัจจุบันธุรกิจแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงของตระกูลพาณิชย์ซึ่งไปจดทะเบียนเป็นบริษัทแพของลาวมีแพอยู่ทั้งหมด 8 ลำ ประจำที่มุกดาหาร 4 ลำ หนองคาย 1 ลำ นครพนม 1 ลำ และเป็นแพสำหรับดูดทรายที่มุกดาหารอีก 2 ลำ ในจำนวนนี้เป็นแพขนาดใหญ่ 2 ลำที่เหลือเป็นแพขนาดกลาง

แพหรือที่ลาวเรียกว่า "เฮือบัก" ขนาดใหญ่ (JUMBO) มูลค่าถึงลำละ 20 ล้านบาท สามารถบรรทุกรถสิบล้อข้ามลำน้ำได้ 18 คัน ส่วนลำเล็กมีมูลค่า 5 ล้านบาท สามารถบรรทุกรถสิบล้อได้คราวละ 8 คัน

ท่าแพมุกดาหาร-สะหวันนะเขตทุกวันนี้มีแพอยู่ทั้งสิ้น 6 ลำ เป็นของตระกูลพาณิชย์ 4 ลำ และของเอีย เอ็งกี่ (แพใช้ชื่อ ดอกรัก) ซึ่งวิ่งในนามบริษัท ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพร์ส อีก 2 ลำเป็นแพขนาดกลาง มีรถบรรทุกสินค้าที่มาข้ามแพที่จุดมุกดาหาร-สะหวันนะเขตนี้วันละประมาณ 35 คัน ในอัตราค่าบริการรถสิบล้อคันละ 800 บาท

ช่วงที่มีสินค้ามากที่สุดเคยมีรถบรรทุกสินค้ามากถึง 300 คันต่อวัน โดยช่วงที่มีการขนส่งสูงสุดคือประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน (โปรดดูตารางประกอบ)

ที่เทียบแพฝั่งมุกดาหารที่บ้านนาโป ซึ่งเพิ่งย้ายมาจากที่เดิมใกล้ ๆ กับท่าเทียบเรือโดยสารได้ไม่นาน มีสภาพไม่สู้ดีนัก ฝั่งสูงชันและทางลงสู่ท่าเทียบแพค่อนข้างแคบ ต่างกับฝั่งสะหวันนะเขตของลาวซึ่งสภาพดีกว่า เพราะสร้างมานานแล้วมีการลงทุนปรับปรุงไปหลายครั้ง

"เสี่ยตุ่น (ตระกูล กุลตังวัฒนา) เป็นคนออกทุนสร้างท่าเทียบแพที่ฝั่งสะหวันนะเขตโดยไม่ได้คิดมูลค่าตอบแทนใด ๆ" แหล่งข่าวในวงการขนส่งที่มุกดาหารกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ส่วนท่าแพทางด้านจังหวัดมุกดาหารดูเหมือนว่าจะยังไม่มีการลงทุนปรับปรุงให้ดีไปกว่าที่เป็นอยู่

แพข้ามฝากไทย-ลาวจากท่ามุกดาหาร-สะหวันนะเขต ใช้เวลาเดินทางข้ามแม่น้ำโขงมากกว่าที่ด่านหนองคาย เพราะต้องขับอ้อมสันดอนกลางแม่น้ำ ต้องใช้เวลาร่วม ๆ 20 นาทีกว่าจะถึงฝั่ง ผิดกับที่หนองคายใช้เวลาแค่ประมาณ 5 นาที ผู้ลงทุนฝ่ายไทยเคยเสนอให้ขุดสันดอนออกแต่ทางลาวไม่เห็นด้วย

แต่จะอย่างไรก็ตาม แพก็ยังคงเป็นพาหนะเพียงอย่างเดียวที่นำพาสินค้าข้ามไปมาระหว่างเมืองมุกดาหารของไทยและเมืองสะหวันนะเขตของลาว มีรายงานข่าวว่า จะมีการสร้างสะพานข้ามโขงแห่งที่สองที่นี่ แต่ทว่าข่าวนี้นับวันมันก็จะค่อยจืดจางไปกับกาลเวลา สะพานข้ามโขงที่มุกดาหาร-สะหวันนะเขตกลายเป็นแต่เพียงเครื่องมือในการปล่อยข่าวปั่นราคาที่ดินกันพอให้ธุรกิจเมืองชายโขงพอมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง

แต่ไม่ว่าจะมีสะพานหรือไม่ก็ตาม การค้าระหว่าง ไทย-ลาวนับวันมีแต่จะมากขึ้น แน่นอนว่าความต้องการในการขนส่งสินค้าข้ามไปมาก็มากขึ้นเป็นสัดส่วนที่แปรตามกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยสาขาตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นรายงานว่า ปี 2535 ที่ผ่านมา การเติบโตของการค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลงเล็กน้อย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายปิดป่าของลาว ปีที่แล้วปริมาณการค้าระหว่างไทยและลาว มีมูลค่า 3982.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% ไทยส่งออก 2837.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.1% และนำเข้า 1144.6 ล้านบาท ลดลง 28.2% สินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นไม้แปรรูปคือมูลค่าประมาณ 955.7 ล้านบาท มีสัดส่วนที่ลดลงจากปีก่อน 28.6% ส่วนสินค้าขาออกที่สำคัญคือเครื่องจักรและอุปกรณ์ และที่สำคัญ คือวัสดุก่อสร้าง ปีที่แล้วส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 68.7%

ไม่เพียงแต่การค้าระหว่างสองประเทศเท่านั้นที่ทำให้สินค้าต้องพึ่งแพขนานยนต์ไปมาระหว่างไทย-ลาว หากแต่ยังมีสินค้าผ่านแดนไทย-ลาวอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ปีที่แล้วสินค้าผ่านแดนมีมูลค่าทั้งสิ้น 3418 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.3% เป็นสินค้าจากประเทศที่สามผ่านไทยไปลาวส่วนใหญ่เป็น เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานจากสหรัฐ และญี่ปุ่น นอกนั้น เป็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่น

ส่วนสินค้าที่ออกจากลาวผ่านไทยไปประเทศที่สามนั้นมีมูลค่าทั้งสิ้น 1153.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 31.1% ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งไปเยอรมนี สหรัฐ แคนาดาและฝรั่งเศส และไม้แปรรูปส่งไปไต้หวัน ญี่ปุ่นและฮ่องกง

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์แนวโน้มการค้าระหว่างสองประเทศว่า ไทยจะสามารถส่งออกไปลาวได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ และจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นก็จะเป็นประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า

สินค้าเข้าส่วนใหญ่ก็จะยังคงเป็นไม้แปรรูป แต่สินค้าตัวนี้จะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลลาว เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกฎระเบียบในการนำไม้ออกอีก ตัวเลขก็จะผันผวนมากจนไม่สามารถคาดการณ์ได้

ส่วนสินค้าผ่านแดนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 15% ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าจากญี่ปุ่น แต่สินค้าที่ลาวส่งผ่านแดนไทยคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีการลงทุนจากต่างประเทศในลาวมากขึ้น ทำให้ลาวสามารถส่งสินค้าออกได้มากขึ้น

หากพิจารณาการส่งสินค้าเข้า-ออกผ่านจุดต่างผ่านแดนต่าง ๆ ระหว่างไทยและลาวแล้วจะพบว่าสินค้าออก 80.5% ส่งออกที่ด่านหนองคาย อาศัยแพที่ท่านาแล้งของลาวในการข้ามแม่น้ำโขง สินค้าออกจะออกที่มุกดาหารในปีที่แล้วเพียง 12.5% ของปริมาณทั้งหมด ที่เหลือออกด่านช่องเม็ก อุบลราชธานี 5.4% ด่านนครพนม 1.2% เขมราฐ อุบลราชธานี 0.3% และเชียงคาน เลย 0.1% ส่วนสินค้าเข้านั้น 33.2% เข้าที่มุกดาหาร 27.8% เข้าที่หนองคาย 16.2% เข้าที่ช่องเม็ก 21.4% เข้าที่นครพนม 1.3 ที่เขมราฐ และ 0.1 ที่เชียงคาน

พิเคราะห์ตามความเคลื่อนไหวของตัวเลขดังกล่าวแล้วจะพบว่า จุดผ่านแดนที่สำคัญระหว่างไทยและลาวอยู่ที่หนองคาย มุกดาหาร และนครพนม ด่านหนองคายจะเป็นจุดส่งสินค้าออก ส่วนมุกดาหารจะเป็นจุดนำสินค้าเข้า (โปรดดูตารางประกอบ)

การที่ด่านหนองคายเป็นด่านที่มีสินค้าออกมากไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอยู่ใกล้เวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เป็นเมืองที่มีการบริโภคมากกว่าที่อื่น และเป็นจุดกระจายสินค้าในลาวอีกด้วย แต่มุกดาหารซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองสะหวันนะเขตเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของลาวก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนัก ทั้งมุกดารหารยังเป็นจุดนำเข้าสินค้าที่สำคัญอีกด้วย

ศักยภาพของด่านมุกดาหาร-สะหวันนะเขตดูจะเหนือกว่าหนองคาย-ท่านาแล้ง ตรงที่สะหวันนะเขตเป็นเมืองที่เชื่อมต่อเข้าสู่เมืองท่าดานังของเวียดนามได้ใกล้ชิดที่สุด โดยผ่านเส้นทางหมายเลข 9 ของลาว หากเส้นทางเส้นนี้ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว การขนส่งสินค้าจากจุดนี้ออกไปถึงเวียดนามก็ทำได้ดีขึ้นด้วย เพราะแม้แต่เส้นทางทุรกันดารอย่างทุกวันนี้ ยังสู้อุตส่าห์มีคนขนสินค้าประเภทเครื่องเซรามิกจากเวียดนามเข้ามาวางขายที่สะหวันนะเขต และมุกดาหารให้นักท่องเที่ยวซื้อถือติดไม้ติดมือกลับบ้าน ทำรายได้ไม่น้อยทีเดียว

ทุกวันนี้รถสินค้าที่มาลงแพข้ามฝั่งจากมุกดาหารไปสะหวันนะเขตก็ยังมีน้อย อย่างมากก็ 30-40 คันต่อวัน แต่หากจินตนาการดูว่าวันข้างหน้าเมื่อมีผู้ลงทุนปรับปรุงถนนหมายเลข 9 ให้ดีขึ้นมา ปริมาณรถที่จะขนส่งสินค้าจากไทยข้ามแพที่มุกดาหาร ไปใช้เส้นทางหมายเลข 9 ของลาวากสะหวันนะเขตไปออกเมืองกวางตรีของเวียดนามแล้วเลยลงสู่เมืองท่าดานังของเวียดนาม กิจการแพอาจจะร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

เวลานี้มีแพข้ามแม่น้ำโขงบริเวณท่ามุกดาหาร-สะหวันนะเขตอยู่ 2 เจ้าคือ ตระกูลพาณิชย์และดอกรักวิ่งในนามของ ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ ทั้งคู่จดทะเบียนอยู่กับฝ่ายลาว วิ่งแข่งขันกันหาลูกค้า ตระกูลพาณิชย์ดูจะเป็นต่ออยู่มากด้วยว่ามีแพขนาดใหญ่ และมีจำนวนมากกว่า มีความแนบแน่นอยู่กับ ร.ส.พ. ซึ่งปัจจุบันกระทรวงคมนาคมก็อนุมัติให้เป็นอีกรายหนึ่งที่สามารถขนส่งสินค้าผ่านแดนได้แล้ว

ถ้าหากตระกูล กุลตังวัฒนา ยังมีชีวิตอยู่เขาก็จะได้รู้ว่าบรรยากาศแบบเก่า ๆ อย่างที่เขาเคยทำธุรกิจได้ผ่านไปแล้ว ทุกวันนี้ตระกูลพาณิชย์ได้ลูกชายนักเรียนนอกกลับมาช่วยบริหารงาน กิจการแพไม่ได้มีเพียงตระกูลพาณิชย์ผู้เดียวหรือ ที. แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ผู้เดียวอีกต่อไป หากความต้องการทางด้านการขนส่งมากขึ้น แม่น้ำโขงคงกระหึ่มไปด้วยเสียงแพขนานยนต์ที่อาจจะมีรายที่ 3 ที่ 4 ต่อแพมาขนสินค้าแข่งขันกันข้ามไปเมืองดานัง เพราะถึงอย่างไร สะพานข้ามโขงที่มุกดาหารยังคงเป็นเพียงความหวังที่ไกลแสนไกล

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us