Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 พฤษภาคม 2550
ธปท.ชี้ส่งออกวูบฉุดบาทอ่อน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธาริษา วัฒนเกส
Economics




ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติหวังแรงกดดันบาทแข็งค่าจะไม่เพิ่มขึ้นไปกว่านี้ เหตุแนวโน้มส่งออกชะลอตัวตามทิศทางภาวะเศรษฐกิจโลก คาดดุลการชำระเงินจะเกินดุลมากกว่าปีก่อน เผยหนักใจ 4 ปีที่ผ่านมาอนุมัติวงเงินให้นักลงทุนสถาบันลงทุนต่างประเทศ 3,300 ล้านดอลลาร์ แต่มีการขอไปลงทุนจริงแค่ 18% เตรียมแก้ปัญหาเร่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลมากขึ้น

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้ไม่ได้มีความหวือหวาเหมือนในอดีต และเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจก็ยังคงดีอยู่ จึงคาดว่าไม่น่าจะมีแรงกดดันที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนไปมากกว่านี้ ประกอบกับในปีนี้ก็มีการทยอยนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์จำนวน 2 ลำแล้ว และปีหน้าหากมีการเดินหน้าของโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) ก็น่าจะมีการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศมากขึ้นจึงเชื่อว่าช่วยลดแรงกดดันเงินบาทแข็งค่าได้ในระดับหนึ่ง

“ในปีนี้คาดว่าดุลการชำระเงินยังคงเกินดุลอยู่ แม้คงจะไม่มากเท่ากับปีก่อน อย่างไรก็ตามแม้การส่งออกจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี แต่ในระยะต่อไปอาจมีการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าของเราทางอ้อมด้วย เพราะอำนาจในการซื้อน้อยลง จึงคาดว่าการส่งออกอาจจะชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียสามารถชดเชยการชะลอตัวเศรษฐกิจของสหรัฐได้ ซึ่งขณะนี้ไทยมีการค้าขายกับประเทศในภูมิภาคมากขึ้น”

ส่วนประเด็นที่ว่ามาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้น 30% และวิธีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (fully hedge) ก็เชื่อว่าไม่ส่งผลต่อเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) เนื่องจาก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นลักษณะในการทำธุรกิจไม่ใช่เป็นการหมุนเงินเพื่อหากำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงดีอยู่ แม้ราคาน้ำมันจะมีสูงขึ้นแต่เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมายังไม่สูงไม่มากนัก ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง และการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่มีวินัยมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบเติบโตต่อไปได้

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเศรษฐกิจให้เติบโตมากนักไม่ว่าจะเป็นปัญหาไข้หวัดนก สึนามิ ซึ่งฝีมือการทำงานของเราเป็นที่ยอมรับ ดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้น แต่ที่ดัชนีไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เพราะนักลงทุนในประเทศเองทั้งรายย่อยและสถาบันยังขาดความมั่นใจ เช่นเดียวกับการลงทุนใหม่ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงต้องมีความชัดเจนด้านการเมืองก่อน อย่างไรก็ตามในระยะยาวก็ยังไม่เห็นปัจจัยด้านลบที่น่ากังวลต่อเศรษฐกิจนัก เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตไปได้”

นางธาริษายังเปิดเผยด้วยว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาธปท.ได้อนุมัติยอดวงเงิน 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้นักลงทุนสถาบันสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น แต่มีนักลงทุนที่ขอไปลงทุนจริงเพียงแค่ 18%ของวงเงินที่อนุมัติให้ ทำให้ขณะนี้วงเงินเหลืออยู่อีกมาก ดังนั้น ในระยะต่อไป ธปท.จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนมากขึ้น

สำหรับสาเหตุที่นักลงทุนสถาบันไม่ค่อยไปลงทุนในต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ธปท.ได้จัดสรรเม็ดเงินลงทุนให้แก่นักลงทุนสถาบันผ่านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้แต่ละรายไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขณะนี้ธปท.มีการผ่อนคลายให้สามารถลงทุนเกิน 50 ล้านดอลลาร์ได้เพียงขอ ธปท. ดังนั้นในเมื่อข้อจำกัดในด้านต้นทุนทั้งเรื่องเม็ดเงินลงทุนและการเสียเวลาในการศึกษาก็ไม่มีแล้ว จึงเชื่อว่าในอนาคตนักลงทุนสถาบันจะมีการลงทุนในต่างประเทศขยายตัวมากขึ้นกว่าเก่า

“ในช่วงสั้นๆ ก็ยังคงมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามา แต่เราก็ต้องมีการผ่อนคลายให้มีความสมดุลมากขึ้น โดยเราจะค่อยๆ เพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุนอย่างมีระบบ เพราะในเมื่อเขามีรายได้หรือเงินออมมากขึ้นโอกาสในการหาดอกผลก็มีมากขึ้นตาม จึงต้องมีการกระจายความเสี่ยงด้วย ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดแรงกดดันเงินบาทแข็งค่าได้ และจะทำให้ประเทศมีความแข่งแกร่งมากขึ้นด้วย” นางธาริษากล่าว

เงินบาททรงตัวที่ 34.58/61

วานนี้ (24 พ.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.58/61 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 34.58/61 บาท/ดอลลาร์ โดยแข็งค่าสุดของวันที่ระดับ 34.57 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดของวันที่ระดับ 34.61 บาท/ดอลลาร์

"เงินบาทเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบแคบๆ ตลอดทั้งวัน ขณะที่ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินยูโร เนื่องจากวันนี้ (24 พ.ค.) ตัวเลขทางเศรษฐกิจของยุโรปออกมาไม่ดี จึงมีการเก็งกำไรระหว่าง 2 สกุล ส่วนค่าเงินหยวน หลังจากการประชุมระหว่างจีนและสหรัฐสิ้นสุดในวันนี้ ยังคงเคลื่อนไหวทรงตัวเช่นเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค แม้ว่าสหรัฐยังคงกดดันให้จีนเร่งปรับค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าเร็วขึ้นก็ตาม" นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพกล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us