ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ สนนมถั่วเหลือง ล่าสุดทดลองตลาดในประเทศกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท พร้อมมองเวียดนามเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ที่จะนำมาม่าเข้าตีตลาดต่อไป ส่วนปีนี้เดินหน้าลุยเพิ่มศักยภาพการผลิตต่อเนื่อง เตรียมปูพรมต่อยอดธุรกิจในอนาคต หลังไตรมาสหนึ่งโกยรายได้ไปแล้วกว่า 1,379.315 ล้านบาท ยิ้มรับสิ้นปี คาดรายได้แตะ 7,000 ล้านบาทแน่นอน
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมถั่วเหลือง กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า สารสกัดที่ได้จากถั่วเหลืองมีคุณประโยชน์เป็นอย่างมาก รวมถึงนมถั่วเหลืองด้วย บริษัทฯเองจึงมองว่าน่าจะเป็นสินค้าใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นขณะนี้ทางบริษัทฯได้เริ่มทดลองผลิตสินค้านมถั่วเหลืองแล้วประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากโรงงานเครื่องดื่ม กรีนเมท ที่จังหวัดราชบุรี โดยเป็นการผลิตเพื่อทดลองตลาดในประเทศกัมพูชาก่อน ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท เช่นเดียวกัน คาดว่าหากได้รับการตอบรับที่ดี ก็พร้อมที่นำกลับมารุกตลาดในประเทศไทยต่อไป
“นมถั่วเหลืองทำไม่ยาก อีกทั้งบริษัทฯเองมีโรงงานผลิตเครื่องดื่มอยู่ก่อนแล้วด้วย จึงมองว่าจะใช้งบลงทุนไม่สูงมากนัก แต่ในส่วนที่ทำยากคือ การตีตลาดมากกว่า เนื่องจากตลาดนี้มีเจ้าตลาดที่ค่อนข้างแข็งแรงอยู่ก่อนแล้วถึง 2 แบรนด์ เช่น แลคตาซอยและไวตามิ้ลค์ การที่จะตีตลาดได้จึงค่อนข้างลำบาก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็ยังคงให้ความสนใจที่จะผลิตนมถั่วเหลืองต่อไป เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่ดี ปีละประมาณ 15% ในแง่มูลค่า หรือมีตลาดรวมอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ดังนั้นทางบริษัทฯจึงได้เริ่มทดลองทำตลาดสินค้านมถั่วเหลืองไปบ้างแล้ว 2-3 เดือนที่ผ่านมาในประเทศกัมพูชา คาดว่า6 เดือนหลังทดลองตลาด จะทราบได้ว่าสินค้าดังกล่าวจะทำตลาดได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไร ก็จะเริ่มทำตลาดในประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้การที่ทดลองตลาดนมถั่วเหลืองในกัมพูชานั้น เนื่องจากข้อกฏหมายที่ง่ายและไม่ยุ่งยากเท่าประเทศไทยนั้นเอง”
อย่างไรก็ตามในกลุ่มเครื่องดื่มที่ทำตลาดอยู่ในประเทศกัมพูชาขณะนี้ได้แก่ น้ำฟัก, น้ำลำไย, น้ำลิ้นจี่ ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท ซึ่งเป็นการทำตลาดมากว่า 2-3 ปีแล้ว โดยเป็นการทำตลาดใน 2 ลักษณะ คือ 1. แบบเป็นทางการ และ 2.เป็นการแทรกซึมนำเข้าไปจำหน่ายผ่านทางตะเข็บชายแดน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ในแต่ละเดือนอยู่ที่ 8-9 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการจำหน่ายในประเทศแล้ว เดือนที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่ 42 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่น่าพอใจ และมีอัตราการเติบโตที่ดี เฉลี่ยเดือนละประมาณ 10% ทุกเดือน
เตรียมส่งมาม่าตีตลาดเวียดนาม
นอกจากนี้ในส่วนของผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ทางบริษัทฯมองว่าเวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจในการที่จะเข้าไปลงทุนสร้างฐานการผลิต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำมากเฉลี่ยประมาณ 85% ของราคาปลีกในการจำหน่าย จากเดิมที่ทำตลาดอยู่แล้วในรูปแบบของการส่งออก ขณะที่ปัจจุบันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายในเวียดนามนั้น เฉลี่ยราคาประมาณ 2.50 บาทต่อซองเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาจำหน่ายที่ผู้ประกอบการเองเริ่มแบกรับไม่ไหวบ้างแล้ว จึงเริ่มหาวิธีการทำตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น ให้ได้ใกล้เคียงที่ 5 บาท เท่าของไทยที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้นการที่จะเข้าไปลงทุนในเวียดนามตอนนี้ จึงมีอุปสรรคอยู่ที่ราคาสินค้า ที่ของไทยยังสูงกว่า แต่หากจะเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง บริษัทฯอาจจะต้องเข้าไปร่วมกับทางบริษัทฯท้องถิ่นในการทำตลาด หรือเป็นการลงทุนในลักษณะชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนที่ต้องมีข้อกฏหมายบังคับหลายอย่าง ดังนั้นขณะนี้บริษัทฯจึงได้มีการเจรจาพูดคุยกับบริษัทท้องถิ่นอยู่หลายราย ทั้งในโซนเวียดนามเหนือและใต้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
สำหรับผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่านั้น ขณะนี้มีการส่งออกแล้วหลายประเทศ ทั้งในกลุ่มอียู รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งสัดส่วนรายได้การส่งออกมาม่านั้นอยู่ที่ 15% ของรายได้การจำหน่ายมาม่าทั้งหมด คาดว่าสิ้นปีนี้สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 17%
ทั้งนี้ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตถึง 10 % เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าถึง 9,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 10,000 ล้านบาท และบริษัทฯเองคาดว่าจะเติบโต 15%
เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นขยายธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการซื้อโรงงาน ที่ซื้อไปแล้วประมาณ 4 โรง เช่น โรงงานทำกระดาษห่อ และโรงงานกลุ่มเบเกอรี่ รวมไปถึงการลงทุนเพิ่มจำนวนเครื่องจักรในการผลิตเครื่องดื่ม พร้อมเพิ่มเครื่องจักรผลิตถ้วยสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย และคาดว่าจะมีการลงทุนใหม่ๆต่อเนื่องอีกเรื่อยๆตลอดปี
ไตรมาสแรกโกยรายได้1.3 ล้านบาท
ถึงแม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะชะลอตัว การเมืองยังไม่ดีขึ้นก็ตาม แต่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้น บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น 14.53% มูลค่า 174.96 ล้านบาท หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,379.315 ล้านบาท กำไรสุทธิ 126.232 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาประมาณ 100 ล้านบาท (คิดตามระบบบัญชีแบบเก่า) ซึ่งบริษัทฯได้มีการปรับปรุงงบบัญชีตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ผลกำไรจริงที่ลดลงไปมีเพียง 24 ล้านบาทเท่านั้น จึงมั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้เป็น 7,000 ล้านบาทแน่นอน โดยมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าสร้างรายได้หลักที่ 90% และเครื่องดื่มรวมขนมขบเคี้ยวอีก 10% ที่เหลือ
|