ระบุไตรมาสแรก ส่งผลตลาดรวมปูนซิเมนต์หดตัว 5% คาดตลาดปูนทั้งปีไม่โตกว่าปี49 แจ้งนำมันปรับราคาส่งผลต้นทุนการผลิตพุ่ง ด้าน“ปูนกลาง”เร่งส่งออกเพิ่ม 500,000 ตันต่อปี พร้อมทุ่มงบพัฒนาระบบพลังงานทดแทน 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หวังลดต้นทุนการผลิต ชี้ไตรมาสแรกสามารถลดต้นทุนการผลิตจากระบบพลังงานทดแทนได้กว่า10% คาดไตรมาส3-4 ยอดขายเพิ่ม หลังเซ็นสัญญาขายปูนเข้าโครงการก่อสร้างทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก พร้อมหนุน ยูนิคฯ ประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงหวังเพิ่มยอดขายไตรมาส1ปี 2551
นางสาวจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหาร (ลูกค้าสัมพันธ์) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดรวมปูนซิเมนต์ในประเทศปีนี้ คาดว่าจะมีปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์ประมาณ 27-28ล้านตันต่อปีเท่ากับปี49ที่ผ่านมา เนื่องจากการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐบาลถูกชะลอออกไป แม้ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)จะมีการอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ – ตลิ่งชัน ไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเปิดการประมูลงานก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 3นี้ แต่การก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะเริ่มใช้ปูนซิเมนต์ในการก่อสร้างจริงในต้นปี2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มการก่อสร้าง
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี2549ที่ผ่านมา ตลาดเริ่มมีสัญญาว่าโครงการก่อสร้างต่างๆ จะชะลอตัวลง ทั้งในส่วนของงานก่อสร้างภาครัฐและเอกชน ทำให้แนวโน้มการใช้ปูนซิเมนต์ในการก่อสร้างลดจำนวนลง ซึ่งจากการสำรวจตลาดและคาดการณ์งานก่อสร้างโครงการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 พบว่าตลาดรวมมีอัตราการขยายตัวลดลงประมาณ 5% ซึ่งในส่วนของบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 และ4 ของปีนี้ บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทมีการเซ็นสัญญาไว้แล้ว โดยปัจจุบัน บริษัทมีงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่เซ็นสัญญาแล้ว3-4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟ เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Suvarnabhumi Airport Rail Link And City Air Terminal Project) หรือแอร์พอร์ตลิงค์ , โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ ,โครงการก่อสร้างทางด่วนบูรพาวิถี และล่าสุด บริษัทนครหลวงคอนกรีต จำกัด ในเครือบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก ร่วมกับ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียรริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในการจะใช้ปูนซิเมนต์ในการก่อสร้างโครงการประมาณ 1.2 แสนลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200ล้านบาท
โดยโครงการดังกล่าว จะเริ่มใช้ปูนซิเมนต์ในขั้นตอนการก่อสร้างในช่วงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3ของปีนี้ ทำให้บริษัทมีรายได้จาการขายเข้ามาเพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทยังให้การสนับสนุน บริษัทยูนิคฯ เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีการอนุมัติให้เปิดการประมูลไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งหาก ยูนิคฯ สามารถประมูลการก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้ จะทำให้บริษัทจะมีรายได้จากการขายปูนซิเมนต์สำเร็จรูปในโครงการดังกล่าวในประมาณไตรมาสที่ 1-2 ของปี2551 ด้วย
“ การอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง จะช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในแนวรถไฟฟ้า มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดปูนซิเมนต์ในประเทศได้มากขึ้น และหากรัฐบาลมีการอนุมัติการก่อสร้างโครงการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ตลาดในประเทศกระเตื้องขึ้นมาได้กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ” นางสาวจันทนา กล่าวและว่า
สำหรับปัญหาการปรับตัวของราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกนั้น ยังไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทมากนัก เนื่องจากระดับการปรับขึ้นของราคานำมันในช่วงเดือนเม.ย. ลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อช่วงเมื่อคิดเฉลี่ยออกมาแล้ว ยังไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตของบริษัท อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงปีนี้ระดับราคาน้ำมันจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งน่าจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการในตลาด แต่ทางบริษัทได้เตรียมความพร้อม โดยได้จัดสรรงบประมาณ 3,000 ล้านบาทตามแผน 5-6 ปี เพื่อพัฒนาระบบพลังงานทดแทนขึ้นมาเสริม ซึ่งในปี 2549
โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในระบบพลังงานทดแทนไป 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ เกือบ2,000 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบพลังงานทดแทน ส่วนในปีนี้บริษัทจะใช้งบประมาณในการพัฒนาระบบพลังงานทดแทนเพิ่มอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท และในปี2551 จะใช้งบประมาณในการพัฒนาระบบพลังงานทดแทนเพิ่มอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่างบประมาณที่ใช้ไปทั้งหมดจะรีเทิร์นกลับมาเป็นรายได้ของบริษัทในระยะ 5-6 ปี
“ เราจะมีรายได้กลับมาจากการใช้พลังงานทดแทนที่ลงทุนไป 3,000 ล้านบาทในระยะ5-6 ปี ซึ่งหากราคานำมันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเราก็จะยิ่งมีรายได้รีเทิร์นกลับมาเร็วขึ้น สำหรับการพัฒนาระบบพลังงานทดแทนนี้ส่วนหนึ่งเราจะได้พลังงานใช้ฟรีและอีกส่วนหนึ่งเราจะได้ค่าบริการกำจัดขยะซึ่งเรานำมาใช้เป้นพลังงานทดแทนในการผลิต โดยที่ผ่านมาเราสามารถประหยัดพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนได้ประมาณ 10% และคาดว่าเมื่อระบบพัฒนาเสร็จแล้วเราจะสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ประมาณ 10%กว่าต่อปี ”
นอกจากการพัฒนาระบบพลังงานทดแทนเพื่อบริหารต้นทุนของบริษัทแล้วบริษัทยังเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าในต่างเพิ่มขึ้นอีก 500,000ตัน เนื่องตลาดการก่อสร้างในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวลดลงอยู่ ทำให้ในปีนี้บริษัทมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 4.2ล้านตัน จากเดิมที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดการส่งออกที่ 3.7ล้านตันต่อปี ส่วนยอดขายในประเทศยังประมาณการไว้เท่าเดิมคือ 8.7ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตามปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นปัญหาต่อการส่งออกของบริษัทอยู่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวหากรัฐบาลสามารถช่วยเหลือได้ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกได้มากขึ้น
|