Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2536








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2536
"สัมปทานสมุดโทรศัพท์เดิมพัน 9,000ล้านบาท"             
โดย สุพัตรา แสนประเสริฐ
 

 
Charts & Figures

ตารางประมาณการเลขหมายที่มีผู้เช่าทั้งในเขต กทม. และภูมิภาค

   
related stories

"ชาติชาย เย็นบำรุง ผู้พลิกการขาดทุนให้เป็นกำไร"

   
www resources

โฮมเพจ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย

   
search resources

องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย-TOT
ล็อกซเล่ย์, บมจ.
ชินวัตร
เอทีแอนด์ที
Auctions




ตลาดสมุดโทรศัพท์มูลค่า 9,000 ล้านบาทจากฐาน 12 ล้านเลขหมาย นับว่าเป็นเดิมพันยิ่งใหญ่ที่ชักชวนให้เอกชนหลายสิบรายต้องกระโจนลงสนามนี้ โดยมีล็อกซเล่ย์ และชินวัตรฯ เป็นคู่แข่งหลักที่สมน้ำ สมเนื้อกันมากที่สุด ถึงแม้ว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับจะเป็นเพียงแค่การคาดการณ์บนพื้นฐานจากอัตราการเติบโตของสื่อโฆษณาปีละ 20% ซึ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะเป็นจริงตามนี้หรือไม่และจะคุ้มกับต้นทุนที่ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวมากน้อยเพียงใด แต่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของธุรกิจที่จะต้องเล่นกับความเสี่ยงบ้าง แถมยังมีผลพลอยได้ชิ้นใหญ่คือรายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วประเทศนับล้าน ๆ ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลทางการตลาดขนาดใหญ่ในระยะยาว

การเปิดประมูลการจัดทำสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ที่กำหนดคัดเลือกตัวผู้ชนะขั้นสุดท้ายประมาณกลางเดือนมีนาคมนี้ได้รับความสนใจจากเอกชนอย่างมากมาย มีผู้เข้ามาซื้อซองประมูลถึง 27 ราย ด้วยกัน

การประมูลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2530 ซึ่งเอที แอนด์ ที ไดเร็คทอรี่ส์ชนะการประมูลและจากที่จีทีอี ไดเร็คทอรี่ส์ ผูกขาดการจัดทำมาเป็นเวลานานถึง 17 ปี แต่เอที แอนด์ทีก็ประสบกับการขาดทุนจนต้องขายธุรกิจนี้ไปให้กับชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ เมื่อปี 2534

หากจะกล่าวว่าทั้ง 27 รายคาดหวังที่จะได้เป็นผู้จัดทำสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ทั้งหมดก็ คงไม่ผิดนัก ถ้ารับในหลักการณ์ของ ทศท. ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้เพราะมูลค่าตลาดที่เติบโตขึ้น ต่อปีเป็นอัตราอยู่ในระดับที่ ทศท. สร้างตัวเลขได้สวยหรู และเมื่อบวกลบคูณหารในการหักผลประโยชน์ที่จะต้องจ่ายให้กับ ทศท. แล้วก็ยังพอมีเหลือที่จะกอบโกยกำไรเข้ามือได้อย่างมากมาย

หมายความว่าหากตลาดเป็นจริงดังที่ ทศท. คาดหวังไว้ว่าจะได้รับการยอมรับจากตลาดโฆษณาอย่างไม่ผิดเป้าละก็ใน 10 ปีข้างหน้าฐานของตลาดสมุดโทรศัพท์จะมีมูลค่าร่วม 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว และประเทศไทยก็จะมีโทรศัพท์ใช้กว่า 12 ล้านเลขหมาย

แต่ประเด็นการประมูลสมุดโทรศัพท์มิใช่อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ประมูลได้ในครั้งนี้ แม้ว่าในวงการต่างคาดเดาและเก็งกันว่า ทั้งล๊อกเลย์และชินวัตรมีสิทธิลุ้นด้วยกันทั้งคู่ ทว่าประเด็นสำคัญกลับไปอยู่ที่เงื่อนไขข้อกำหนดการคัดเลือก (TOR) บางข้อไม่ว่าจะเป็น การถือหุ้น 51% ของ ทศท. การจัดพิมพ์สมุดหน้าขาว และมูลค่าตลาดจะเป็นเช่นที่ ทศท. คำนวณไว้หรือไม่ต่างหาก

เงื่อนไขในทีโออาร์ครั้งนี้ถูกกำหนดหรือเขียนขึ้นด้วยฝีมือของพิสิฐ ลี้อาธรรม ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และวิทู รักษ์วนิชพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ทศท. ความต่างของ TOR ในครั้งนี้ต่างกับครั้งก่อนอย่างมากมาย ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ

ประการแรก ทศท. ประกาศเชิญชวนให้ผู้ที่มีความสนใจร่วมการงานและร่วมการลงทุนจัดทำสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ร่วมถือหุ้นกับ ทศท. และหน่วยงานหรือเอกชนที่ ทศท. เชิญร่วมลงทุน โดยทศท. ถือหุ้น 49% และหน่วยงานหรือเอกชนที่ ทศท. เชิญเข้าร่วมถือหุ้น 6% รวมเป็นสัดส่วนการถือหุ้นของ ทศท. 51% ของทุนจดทะเบียน ส่วนกลุ่มผู้ร่วมการงานหรือร่วมการลงทุนถือหุ้นรวมกัน 49% ของทุนจดทะเบียนในอัตราส่วนนี้ผู้ถือหุ้นชาวต่างประเทศทั้งหมดจะต้องไม่เกิน 40% ของทุนจดทะเบียน

หมายความว่าการถือหุ้นครั้งนี้ ทศท. จะได้รับผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากการเป็นผู้ถือหุ้นและอีกส่วนหนึ่ง เป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการนำหมายเลขโทรศัพท์ในส่วนธุรกิจไปหาโฆษณาในอัตราส่วนที่เสนอให้ โดยใช้สูตรการคำนวณสำหรับใช้ในการประเมินผลซึ่งเป็นตัวตัดสินการประมูล

ในขณะที่ทีโออาร์เดิมครั้งที่ทำกับเอที แอนด์ทีและโอนกิจการให้ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ส์ในเวลาต่อมา ทศท. เป็นเพียงผู้ให้สัมปทานการจัดทำแก่เอกชนที่ชนะการประกวดราคาเท่านั้น และรับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่เอกชนเสนอ ซึ่งปีสุดท้ายที่ชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์เสนอให้กับ ทศท. ถือ 45% ของรายได้ซึ่งคาดว่าจะทำได้ประมาณ 1,100 ล้านบาทหรือคิดเป็นมูลค่า 450 ล้านบาท

เมื่อเป็นเช่นนี้ในทีโออาร์ใหม่ ทศท. ย่อมจะมีรายได้เพิ่มจากการถือหุ้นด้วย

ประการที่สอง ระยะเวลาของการรับสิทธิสัมปทานจัดทำทีโออาร์ใหม่มีระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันลงนามในสัญญา และต่อสัญญาได้เป็นคราว ๆ ไป หรือตราบเท่าที่ ทศท. เป็นผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลที่ได้รับสิทธิแต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันลงนามในสัญญา

ในประเด็นนี้ย่อมหมายถึงเมื่อ ครบ 10 ปี ทศท. อาจต่อสัญญาหรือล้มเลิกก็ได้ ส่วนทีโออาร์เดิมมีอายุสัมปทานการจัดทำสมุดรายนามฯ เพียง 5 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ดีในเงื่อนไขข้อนี้ ทศท. ได้ยืดหยุ่นเวลาให้กับชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์ซึ่งรับสัมปทานอยู่ในเวลานี้ ได้ต่ออายุสัมปทานไปอีก 2 ปี ดังนั้นการเริ่มต้นสัญญาการจัดทำของทีโออาร์ใหม่จึงไปเริ่มต้นนับปีที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2539 แต่หากว่าชินวัตรฯ ไม่รับทำต่อใน 2 ปี อายุสัมปทานใหม่ก็จะเริ่มนับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นไป

ประการที่สาม ทีโออาร์ใหม่ไม่มีการประกันรายได้ขั้นต่ำ แต่ทีโออาร์เดิมมีการประกันส่วนแบ่งรายได้จากการขายโฆษณาขั้นต่ำ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ทศท. จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนโดยมีกำหนดในปีแรกเอกชนที่รับสิทธิ์จะต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับ ทศท. เป็นจำนวน 125 ล้านบาท ปีที่สองจ่าย 150 ล้านบาท ปีที่สาม 225 ล้านบาท ปีที่สี่ 325 ล้านบาทและ 450 ล้านบาทในปีสุดท้ายหรือคิดเป็นเปอร์เซนต์จากรายได้การขายโฆษณาก่อนหักค่าใช้จ่าย 41%, 42%, 43%, 44% และ 45% ตามลำดับ โดย ทศท.จะเลือกรับผลประโยชน์ที่ได้สูงสุดเท่านั้น

สุรช ล่ำซ่ำ ลูกชายคนโตของ บรรยงค์ ล่ำซ่ำซึ่งดูแลฝ่ายวิศวกรรมสื่อสารของล๊อกซเล่ย์(กรุงเทพ) ที่ในวันนี้เขากำลังได้รับการผลักดันจากผู้ใหญ่ของล๊อกซเล่ย์ให้เติบโตโดยการให้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโครงการกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า

"การประมูลครั้งนี้น่าสนใจมากเพราะไม่มีการประกันรายได้ขั้นต่ำเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ทำให้คำนวณด้านการเงินหรือเสนอผลประโยชน์ยากขึ้นต้องระวังอย่างมาก เพราะฐานขั้นต่ำ 45% ที่ ชินวัตรเสนอไว้ให้ ทศท. ในปีหลังสุดนับได้ว่าเป็นฐานที่สูงเอาการ"

อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีการประกันรายได้ขั้นต่ำก็ใช่ว่า ทศท. จะได้รับผลประโยชน์ลดน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา แต่กลับได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากฐานการตลาดที่ขยายตัวทำให้มูลค่าการตลาดสูงขึ้น ซึ่งดูได้จากฐานการตลาดล่าสุดที่ชินวัตรฯ ทำไว้สามารถจ่ายผลประโยชน์ให้กับ ทศท. ได้อย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ทศท. ก็ยังได้รับผลประโยชน์อีกส่วนหนึ่งจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย นอกเหนือจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากรายได้ในการหาโฆษณา

ประการที่สี่ การแบ่งเขตการจัดพิมพ์หมายเลขเนื่องจากเลขหมายที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง ทศท. คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 ล้านเลขหมายเมื่อถือปี 2538 จนเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงระบบการจัดหน้าใหม่จากเดิม 2 คอลัมน์เป็น 4 คอลัมน์

ประการที่ห้า ทีโออาร์ ใหม่ระบุว่าผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ร่วมการงานและร่วมการลงทุนต้องวางหลักประกันข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านบาทจากเดิมวางหลักประกันข้อเสนอเพียง 5 ล้านบาท เท่านั้น

ประการที่หก ระบุในเรื่องของประสบการณ์ไว้ว่าผู้เสนอหรือกลุ่มผู้เสนอจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการจัดพิมพ์สมุดรายนามฯ และสมุดหน้าเหลืองให้แก่องค์กรผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่มีผู้เช่าไม่น้อยกว่า 1 ล้านเลขหมายเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี

จากกรณีนี้ดูเหมือนว่า ทศท. จะรู้เห็นเป็นใจและเปิดทางให้กับชินวัตรอย่างเต็มที่ เพราะเอกชนสัญชาติไทยรายเดียวที่มีประสบการณ์ในการจัดทำสมุดโทรศัพท์

แต่ก็ใช่ว่า เงื่อนไขนี้จะปิดทางคู่แข่งอื่น ๆ หมดเพราะมีหนทางง่าย ๆ ที่จะแก้ลำได้ คือการดึงบริษัทต่างประเทศที่มีประสบการณ์มาร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยดังเช่นกรณีของล๊อกซเล่ย์เอง แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดทำสมุดโทรศัพท์มาก่อนก็ตามแต่ความเป็นล๊อกซเล่ย์ นอกจากเจ้าบุญทุ่มแล้ว พาร์ทเนอร์ที่ร่วมมือกันแต่ละรายไม่ว่าจะเป็นจัสมินและอิตาเลียนไทยซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่จับมือร่วมกันทำโครงการ 1 ล้านเลขหมายในส่วนภูมิภาค ก็ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากกลุ่มธุรกิจกลุ่มนี้จะดึงบริษัท ต่างชาติที่มีประสบการณ์ในการจัดทำสมุดโทรศัพท์มาก่อนเข้าร่วมด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร

สุจินต์ สุวรรณชีพ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ล๊อกซเล่ย์ (กรุงเทพ) จำกัดกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ขณะนี้ล๊อกซเล่ย์กำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์มาร่วมทุน ซึ่งมีอยู่หลายบริษัทด้วยกัน ล้วนแต่เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการจัดทำสมุดรายนามฯ ในต่างประเทศมาก่อนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เอ็นทีที ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานในญี่ปุ่น ไอทีที ทีทีแอนด์ที ไนเน็กซ์และเทเลไดเร็คทอรี่ส์

หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการเข้าร่วมกับล็อกซเล่ย์นั้น ทั้ง เอ็นทีที ไอทีทีและทีทีแอนด์ที ล้วน แล้วแต่มีความสัมพันธ์สานต่อเชื่อมโยงกันจนอาจเรียกได้ว่าเป็นเนื้อเดียวกันก็ว่าได้นั่นคือเอ็นทีทีเป็นพาร์ทเนอร์กับ ทีที แอนด์ ที ทำไดเร็คทอรี่ส์ในญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ทีที แอนด์ ที ก็เกิดจากการร่วมทุนกับล๊อกซ เล่ย์, จัสมิน, และเอ็นทีที ทำโครงการ 1 ล้านเลขหมายด้วย โดยมี เอ็นทีทีเป็นผู้ซัพพลายเทคโนโลยีให้บางกระแสข่าวก็ว่า ล๊อกซเล่ย์จะเลือกไนแน็กซ์เป็นพาร์ทเนอร์

แต่สุจินต์ก็ยังไม่ยืนยันว่าจะลงเอยกับใคร

"เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับใครเราคุยกับทุกบริษัทแต่ละบริษัทก็ให้ความสนใจกันทั้งนั้น ขณะเดียวกันเขาก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดเงื่อนไขของ ทศท. ในบางข้อที่เขายอมรับไม่ได้เช่น การถือหุ้นที่อยู่ในเปอร์เซ็นต์ต่ำ" สุจินต์ กล่าว

นอกจากนี้การประมูลสมุดโทรศัพท์ครั้งนี้ระบุว่าเป็นการประมูลจัดทำสมุดหน้าขาวไว้อย่างชัดเจน โดยที่ผู้ประมูลได้จะได้รับสิทธิ์ในการจัดพิมพ์สมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้อย่างมหาศาลจากการที่ตลาดโฆษณามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 20% แต่สมุดหน้าขาวก็เป็นรายจ่ายที่มียอดมหาศาลเช่นกัน ยิ่งหมายเลขเพิ่มต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย

"ตลาดโฆษณาเพิ่ม 20% ทว่าหมายเลขหน้าขาวกลับเพิ่มขึ้นเป็น 200%" สุจินต์กล่าว

นี่คือปัญหาใหญ่ที่ล๊อกซเล่ย์เฝ้าทบทวนถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นในการลงทุนแข่งประมูลครั้งนี้

แต่สุรชกลับมองเห็นว่า รายได้จากค่าโฆษณาตามประมาณการที่ ทศท. คำนวณไว้นั้นมีทางเป็นไปได้และสามารถขยายตลาดเพิ่มขึ้นได้จากกลุ่มเป้าหมายใหม่ ที่เรียกกันว่ากลุ่ม CONSUMER หรือกลุ่มธุรกิจย่อย ร้านค้าข้างถนน กลุ่มเป้าหมายใหม่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถขยายอัตราการเติบโตของตลาดไปได้อีก (ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจที่ลงโฆษณาส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางเท่านั้น)

"ปีนี้ชินวัตรทำได้ถึง 890 ล้านบาทหากเทียบจากยอดปีก่อนเขาเติบโตขึ้นถึง 30% นั่นแสดง ให้เห็นถึงแนวโน้มของตลาดเริ่มดีขึ้น ผู้คนให้การยอมรับมากขึ้น พวกเขาเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับ ความสำคัญของการลงโฆษณา หากพฤติกรรมเปลี่ยนเช่นนี้นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับวงการ"

กลุ่มชินวัตรฯ ซึ่งได้รับโอนกิจการมาจากเอทีแอนด์ทีเมื่อต้นปี 2534 และแสดงความสามารถในการลดการขาดทุนลงได้จนในปีสุดท้ายของการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานการจัดทำสมุดรายนามฯ ชินวัตรฯ คาดหวังว่าจะมีกำไรถึง 1,000 ล้านบาทและคืนผลประโยชน์ให้ ทศท. ได้ตามจำนวนที่ตกลงกันในสัญญา 450 ล้านบาทหรือ 45%

ชินวัตรฯ เพิ่งเข้ามาบริหารธุรกิจนี้ได้เพียง 3 ปี แต่ก็สามารถทำให้ ทศท. ต้องต่อสัญญาให้อีก 2 ปีทว่าสัญญาที่ ทศท. ต่อให้ชินวัตรฯ แม้จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการลงนามกันแต่อย่างไร

นี่คือลูกเล่นที่แพรวพราว หรือข้อต่อรองที่ฉมังของชินวัตร ???

ในวงการวิเคราะห์กันว่า การที่ชินวัตรไม่เซ็นสัญญาต่ออายุสัมปทานเพิ่มอีก 2 ปีนั้นเป็นเพราะว่าชินวัตรฯ คิดที่จะใช้เป็นข้อต่อรองในการประมูลใหม่ในครั้งนี้ หากประมูลได้ก็เท่ากับว่าชินวัตรจะได้สัมปทานนานถึง 12 ปีโดยเริ่มคิดจากปี 2539 หรืออาจจะเป็น 10 ปีตามเงื่อนไขในทีโออาร์ใหม่ที่ระบุว่าอายุสัมปทานจะไม่เกิน 10 ปีก็เท่ากับว่าได้เริ่มต้นใหม่ในปี 2537 ผลประโยชน์ที่จะต้องส่งให้ ทศท. ก็จะได้เปลี่ยนไปด้วยตามที่เสนอใหม่

ถ้าหากว่าชินวัตรประมูลไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าชินวัตรฯ อาจเลิกล้มสัมปทานที่ต่อไว้อีก 2 ปีข้างหน้าเสียก็ได้ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย เพราะไม่มีความผิดใด ๆ

อย่างไรก็ตามความมุ่งหวังของทักษิณ ชินวัตรที่จะประมูลงานนี้ให้ได้ก็มีอยู่มาก และชินวัตรก็มีความแข็งแกร่งพอที่จะสู้กับคู่ชก เช่นล๊อกซเล่ย์หรือรายอื่น ๆ ได้อย่างสมฐานะ

เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์กล่าวกับ"ผู้จัดการ" ว่า "ชินวัตรมีความพร้อมในทุก ๆ ด้านที่จะเข้ายื่นซองประมูลในครั้งนี้ด้วยซึ่งพาร์ทเนอร์ที่จะเข้าร่วมกับเราก็คือบริษัท แปซิปิค แอคเซส จากออสเตรเลีย แปซิฟิคมีประสบการณ์ในการจัดทำสมุดโทรศัพท์มากกว่า 1 ล้านเลขหมายมาแล้วในออสเตรเลีย ขณะเดียวกันชินวัตรไดเร็คทอรี่ส์เมื่อถึงสิ้นปี 2538 ก็จะมีประสบการณ์ในการจัดพิมพ์สมุดรายนามฯ ที่มีเลขหมายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเลขหมายด้วยเหมือนกัน"

พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทชินวัตรกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า เขากลับไม่ยี่หระกับการประมูลนี้เท่าไรนัก ไม่ตื่นเต้นแม้ว่าจะประมูลได้หรือไม่ก็ตาม หากประมูลได้ตัวเลข 9,000 ล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นเรื่องที่หนักเอาการแต่ก็น่าสนใจแต่หากประมูลไม่ได้พนักงานของชินวัตรไดเร็คทอรี่ก็จะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน

ตลาดโฆษณาที่มีมูลค่าถึง 20,000 ล้านต่อปีนี้นับวันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นพอ ๆ กับการเพิ่มขึ้นของสื่อต่าง ๆ ด้วยเช่นกันสมุดโทรศัพท์ก็จัดไว้ในสื่อสิ่งพิมพ์เช่นกันซึ่ง ณ วันนี้สื่อสิ่งพิมพ์จัดว่าเป็นสื่อที่มีปริมาณการแย่งชิงโฆษณาที่สูงมาก

นักการตลาดบางท่านให้ความเห็นว่า ตามหลักความเป็นจริงหากหนังสือใดมีความหมายมากนักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากทั้งผู้อ่านและตลาดโฆษณา แต่คนในวงการธุรกิจสมุดโทรศัพท์กลับให้ความเห็นว่า ผู้ให้โฆษณามีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าสมุดโทรศัพท์เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีความแตกต่างจากสิ่งพิมพ์ทั่วไป เพราะการจัดรูปเล่ม การจัดหมวดหมู่ของสินค้าแต่ละชนิดไว้แยกจากกันทำให้ ง่ายต่อการค้นหา ดังนั้นสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไปจึงเป็นคนละตลาดกับสมุดโทรศัพท์และไม่สามารถแชร์ส่วนแบ่งการโฆษณาไปได้

ตลาดโฆษณาสมุดโทรศัพท์จึงยังมีทีท่าว่าจะเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ ว่ากันตามจริงแล้วการเติบโตของตลาดโฆษณาในสมุดโทรศัพท์ตามที่ ทศท. คำนวณนั้นเป็นอัตราการเติบโตแบบก้าวหน้าโดยมีสมมติฐานจากตัวเลขของเลขหมายโทรศัพท์ที่เพิ่ม ทว่าการเพิ่มขึ้นของเลขหมายเหล่านี้มิใช่เพิ่มในสัดส่วนของผู้ทำธุรกิจถึง 100% แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนของที่อยู่อาศัยที่มิได้ให้ความสนใจในเรื่องการโฆษณาด้วย

ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องที่ล๊อกซเล่ย์, ชินวัตรและกลุ่มผู้ท้าชิงรายอื่น ๆ ที่มีที่ทีท่าว่าจะเข้าร่วมวงไพบูลย์แข่งขันการประมูลด้วย อาทิ เทเล ไดเร็คทอรี่ส์ซึ่งจะจับมือร่วมกับซิโนบริต หรืออินทีเกรตเต็ด จับมือกับจีทีอีเจ้าเก่าเป็นต้น ต้องทำการบ้านอย่างหนักในการคิดคำนวณถึงความคุ้มกี่มากน้อยที่จะประมูลงานนี้มาไว้ในมือ เพราะเติบโตของเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นมากเท่าใด นั่นย่อมหมายถึงต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

หากพิจารณาจากความเป็นจริง ณ วันนี้ ทศท. มีเลขหมายให้ผู้ใช้ทั่วไปประมาณกว่า 1,300,000 เลขหมาย เมื่อบวกเข้ากับ 2 ล้านเลขหมายเฉพาะภายใน กทม. ที่เทเลคอมเอเชียได้รับสัมปทานโครงการติดตั้ง 2 ล้านเลขหมายซึ่งเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี 35 ทำให้จำนวนเลขหมายของ กทม. เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านกว่าเลขหมาย

จากจำนวนเดิมการพิมพ์สมุดรายนามฯ จัดพิมพ์หน้าขาว 2 เล่มแบ่งตามตัวอักษรและหน้าเหลือง 2 เล่มแบ่งตามลักษณะของธุรกิจ ปัจจุบันเลขหมายเพิ่มขึ้นชินวัตรต้องจัดรูปแบบการพิมพ์ใหม่ โดยจัดพิมพ์เป็นเขตแบ่งออกเป็น 4 เขต

เขตที่ 1 จะเป็นรายชื่อของผู้ใช้โทรศัพท์ที่อยู่ใน กทม. รอบในที่มีเลขหมายขึ้นต้นด้วยเลข 2

เขตที่ 2 จะเป็นเขตตอนเหนือของ กทม. ที่มีเลขหมายขึ้นต้นด้วยเลข 5

เขตที่ 3 จะเป็นเขตที่อยู่ตอนใต้ กทม. ที่มีเลขหมายขึ้นต้นด้วยเลข 4

เขตที่ 4 จะเป็นเขตถนนสุขุมวิทที่มีเลขหมายขึ้นต้นด้วยเลข 3

ปัจจุบันชินวัตรต้องพิมพ์รายชื่อถึง 1.7 ล้านเลขหมายในปีหน้าตามเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300,000 เลขหมายและเมื่อสิ้นสุดแผน 7 โทรศัพท์ในเขต กทม. จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านเลขหมาย

ส่วนในเขตภูมิภาคตามโครงการสัมปทาน 1 ล้านเลขหมายที่ล๊อกซเล่ย์ฟาดฟันกับชินวัตรมาได้นั้นสิ้นปี 37 เลขหมายในส่วนภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันพิมพ์แบ่งเขตเป็น 4 เขตคือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้

จากเลขหมายที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ทีโออาร์ใหม่ต้องระบุการจัดพิมพ์เฉพาะหน้าขาวแบ่งเป็น 4 เขตแต่ละฉบับจะจัดพิมพ์เป็น 4 คอลัมน์ โดยจัดพิมพ์แยกเป็น 2 ประเภทคือ สมุดรายชื่อธุรกิจซึ่งรวบรวมเลขหมายและรายชื่อธุรกิจตามข้อมูลของ ทศท. และสมุดรายชื่อบุคคลทั่วไปโดยให้พิมพ์เลขหมายที่มีความจำเป็นต้องใช้หรือสอบถามบ่อยเช่นโรงพยาบาล หน่วยงานราชการ ทุกเลขหมายไว้ในสมุดของทุกเขตส่วนภูมิภาคจัดพิมพ์เหมือนที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลง

การแบ่งเขตใน กทม. ยังมีประเด็นที่ยังไม่มีคำตอบที่ลงตัวว่า หากผู้ที่อยู่ในเขตสุขุมวิทต้องการได้เลขหมายในเขตอื่น ๆ พวกเขาจะต้องทำอย่างไรหรือเขตอื่น ๆ ต้องการเล่มที่มีเลขหมายต่าง ๆ ไปจากของตนเองจะทำอย่างไร สอบถามจากบริการ 13, 183 หรือ ทศท. จะจัดจำหน่วยให้กับผู้ที่ต้องการสมุดต่างเขต

หาก ทศท. จัดจำหน่ายจะจัดตั้งศูนย์กันอย่างไรราคาต่อเล่มเป็นเท่าใด และ รายได้ที่เพิ่มขึ้นใครคือผู้รับผลประโยชน์ส่วนนี้ไป

"เรื่องนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอีกครั้งมันเป็นเรื่องของรายละเอียด จะมีการปรึกษากันอีกครั้งเมื่อตั้งเป็นบริษัทใหม่แล้ว แต่ที่คาดไว้ก็คือจัดตั้งเป็นศูนย์จำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการมากกว่าที่จะแจกเหมือนเช่นที่ต่างประเทศทำกัน ส่วนรายได้เข้าบริษัท" แหล่งข่าวจาก ทศท. ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นล๊อกซเล่ย์ หรือชินวัตรหรือผู้ที่ให้ความสนใจรายอื่น ๆ ในตลาดนี้โดยส่วนใหญ่มิได้มุ่งหวังเพียงแค่ต้องการจัดทำสมุดรายนามฯ เพียงเป้าหมายของรายได้ 100 ล้าน หรือ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น ทว่าเป้าหมายซึ่งเป็นผลพวงจากการได้รับสัมปทานในการจัดทำนี้อยู่ที่ว่า ผู้ที่ได้รับสัมปทานจะมีฐานข้อมูลรายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วประเทศนับล้าน ๆ คนอยู่ในมือซึ่งสามารถนำไปจัดทำธุรกิจต่อเนื่องเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าโดยที่ ทศท. ไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในส่วนนี้ได้เลย

เรื่องนี้ทั้งล๊อกซเล่ย์ ชินวัตร หรืออินทีเกรตเต็ดซึ่งเป็นอดีตจีทีอีเก่าก็ยอมรับว่าเลขหมายที่มีอยู่ในมือเขานำไปทำธุรกิจอื่นได้มากมาย เช่น ไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง เทเลมาร์เก็ตติ้ง เทรดแมกกาซีน เทรดไดเร็คทอรี่ส์ หรือจะทำไดเร็คเมลล์ และอีเล็คนิกส์ ไดเร็คทอรี่ส์ เหล่านี้ล้วนเป็น ผลพลอยได้จากการได้เลขหมายไว้ในมือทั้งสิ้น

ผลประโยชน์จากการประมูลสัมปทานจัดทำสมุดโทรศัพท์จึงมิใช่อยู่เพียงแค่รายได้จากโฆษณาในสมุดหน้าเหลืองในช่วงอายุสัมปทานเท่านั้น แต่เป้าหมายที่จะเป็นรายได้ต่อไปในระยะยาวคือฐานข้อมูลที่นับได้ว่ามีขนาดใหญ่และมีการจัดระบบอย่างดีเยี่ยมฐานหนึ่งในประเทศไทย !!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us