หลายปีมานี้ พิพัฒน์ ยอดพฤติการ มีโอกาสสร้างประสบการณ์จากหน้าที่ การงาน
และการคิดค้นข้อมูล ในฐานะของ "สื่อ" ที่เขาบ่มเพาะแนวคิดของอี-คอมเมิร์ซ
ขึ้นมาเป็นลำดับ จนกลายมาเป็นกติกาการตลาดแบบใหม่ในโลกของอินเตอร์เน็ต ที่เขาเรียกว่ากฎ
4 I ที่เป็นการฉีกกฎ 4 p ในโลกการค้าแบบเก่า
อันที่จริงแล้ว พิพัฒน์เป็นวิศวกรในโรงงานธรรมดา มีแต่ความรู้ด้านเทคนิค จนมีโอกาสได้เปลี่ยนงานมาทำทางด้าน
business development ต้องรับผิดชอบเรื่องการนำไอทีมาใช้ในธุรกิจ ทำให้มุมมองของการเปิดเข้าสู่เรื่องราวทางธุรกิจ
เป็นเรื่องของการประยุกต์ไอทีมาใช้งาน ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคเพียงอย่างเดียว
เกิดเป็นโมเดลใหม่ขึ้นในความคิดของเขา ที่เป็นการผสมผสาน 2 ส่วนนี้เข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ จากบทบาทของการเป็น "สื่อ" ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จากการที่เขามีโอกาสเข้าไปจัดรายการในเรื่องไอทีให้กับวิทยุผู้จัดการเมื่อ
3 ปีที่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มุมมองของเขาเปิดกว้างมากขึ้น
จึงกลายเป็นบทบาทสองส่วน ที่ผสมผสาน และเกื้อหนุนกันตลอดเวลา ระหว่างการเป็นสื่อ
และการทำงาน
เขามีโอกาสได้เข้าไปเป็น web master ให้กับปรส. ในการพัฒนาเว็บไซต์ขึ้นมา เพื่อไว้เป็นการถ่ายทอดข้อมูลของปรส.
ซึ่งการชักชวนนี้ก็มาจากการที่มีคนในปรส.อ่านเจอบทความของเขา ที่เขียนเกี่ยวกับการนำอินเตอร์เน็ตไปใช้ประโยชน์ของปรส.
จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสมาทำงานกับบริษัทแอนเดอร์สัน บริษัทที่ปรึกษาข้ามชาติ
ที่กำลังให้ความสนใจในเรื่องของอี-คอมเมิร์ซ การมาทำงานร่วมกับแอนเดอร์สัน
จึงเป็นการสร้างประสบการณ์ในเรื่องของอี-คอมเมิร์ซ ทั้งในเชิงกว้าง และลึกของเขา
"การเป็นที่ปรึกษา เราต้องดูทั้งในเรื่องการวิจัยของตลาด
บทบาทของอี-คอมเมิร์ซ และยังต้องลงลึกไปถึงทางด้านเทคนิค การวางระบบเครือข่าย
ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงการออกแบบระบบ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย ที่จะนำมาใช้ในการติดตั้ง"
ประสบการณ์ ที่เปลี่ยนไปเหล่านี้เอง ส่งผลไปถึงพัฒนาการในบทบาทของ "สื่อ"
ที่สะท้อนออกมาจากการเขียนคอลัมน์ใน "ผู้จัดการรายวัน" ใน คอลัมน์ ที่เขาให้ชื่อว่า
internet folio ที่นำเอาบริษัท ดอท.คอม ทั้งหลาย ที่ทำธุรกิจออนไลน์ และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น
nasdaq มาวิเคราะห์กันทั้งใน แง่มุมความเป็นมาเป็นไปของธุรกิจ รวมถึงราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ที่มีแนว โน้มไปทางบวกหรือลบ
พิพัฒน์ใช้เวลาปีกว่ากับการทำงาน ที่แอนเดอร์สัน ให้คำปรึกษากับทั้งบริษัทในไทย
และบางครั้งก็ต้องบินไปทำงานร่วมกับแอนเดอร์สันในประเทศ อื่นๆ ด้วย และการไปเป็นที่ปรึกษาด้านอี-คอมเมิร์ซให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
เป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาได้ยุติชีวิตของการเป็นที่ปรึกษา
หลังจากบินกลับมาเมืองไทย เขาได้รู้จักกับนักลงทุนท้องถิ่น ที่เรียกกันว่า
venture capital ท้องถิ่น ที่ให้ความสนใจกับแนวโน้มของอี-คอมเมิร์ซอย่างมาก
ซึ่งได้กลายเป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนจากการเป็นลูกจ้างมาเป็นเถ้าแก่เต็มตัว
"ช่วงนั้น ผมยอมรับว่าคิดหนักมาก เงินทุนไม่ใช่ปัจจัยหลัก
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไอเดีย ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ออกมาเป็นรูปธรรม หลายๆ คนมอง ที่ปรึกษาว่า
เคยแต่ให้คำปรึกษาพอถึงเวลาทำจริงไม่รู้ทำได้หรือเปล่า ตรงนี้คือ บทพิสูจน์อย่างหนึ่ง"
เวลา 3 ปี กับเงินลงทุน 50 ล้านบาท คือ ข้อเสนอ ที่พิพัฒน์ ได้จาก venture
capital ท้องถิ่น ที่จะปล่อยให้เขานำเสนอแนวคิดได้อย่างเต็มที่ และ เขาใช้เงินไปกับโครงการนี้เพียงแค่
5 ล้านบาท
เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับหลายคนที่สงสัยว่าทางเลือกของการเริ่มต้น ในธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตกลับแตกต่างไปจากประสบการณ์อย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ได้ทำอี-คอมเมิร์ซ แต่สิ่งที่เขาทำคือ ธุรกิจรับจดชื่อเว็บไซต์เป็นภาษาไทย
"คนจะทำเว็บไซต์ดียังไงก็ตาม แต่ถ้าไม่มีคนใช้อินเตอร์เน็ต
ก็ไม่มีประโยชน์ ผมว่าตรงนี้อยู่ ที่ว่าใครจะมองทะลุได้ยังไง ที่จะทำให้เกิดลูกค้าขึ้นมาก่อน"
พิพัฒน์บอกถึงรากฐานความคิด
เว็บไซต์ภาษาไทย ที่เกิดขึ้นทุกวันบนอินเตอร์เน็ต คือ โอกาสทางธุรกิจ ที่พิพัฒน์มองเห็น
และการเลือกจดทะเบียนเว็บไซต์ภาษาไทย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะละเลยความเป็น
"สากล" ของอินเตอร์เน็ต แต่เขากำลังสร้างช่องทาง ที่จะทำให้คนเข้าสู่อินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น
พิพัฒน์ และทีมงานใช้เวลา 3 เดือนเต็ม ในการพัฒนาซอฟต์แวร์มา เพื่อ ให้โปรแกรมบราวเซอร์
สามารถรับรู้ และเข้าใจชื่อ ที่อยู่เว็บไซต์ ที่เป็นภาษาไทยได้ พิพัฒน์พัฒนาโปรแกรม
ไทยยูอาร์แอล ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดโปรแกรมนี้ได้ฟรี เพื่อให้บราวเซอร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์
อ่านชื่อภาษาไทยได้
ที่มาของรายได้จากไทยยูอาร์ แอล ก็คือ ค่าจดทะเบียนปีละ 800 บาท ซึ่งจะเริ่มเก็บในปีถัดไป
ในเวลาไม่ถึง 2 เดือน มีเว็บไซต์ภาษาไทย ที่มาจด ทะเบียนกับเขาแล้ว 3,000
ราย เป็นทั้งเว็บไซต์ ที่มีอยู่เดิม และเว็บไซต์ใหม่
เมื่อเขาได้พื้นฐาน หรือโครงสร้างของซอฟต์แวร์แล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ
เขาสามารถจะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ คือ รับจดชื่อทะเบียนเป็นภาษาไทย แต่เป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศเหล่านั้น
ชื่อไทย.คอม เป็นแค่ 1 ในไอเดียของธุรกิจ ที่มีอยู่ในแผนเท่านั้น ในโลกของอินเตอร์เน็ต
ไม่มีคำว่าหยุดนิ่ง เป้าหมายระยะยาว ที่พิพัฒน์มองก็คือ การจะทำให้ชื่อเว็บไซต์ของไทยเป็นชื่อสามัญ ที่ไม่ต้องมีคำว่า
.คอม หรือ ดอท อะไรก็ตามแต่ห้อยท้าย
เป้าหมายในระยะยาวของพิพัฒน์ ก็คือ การจะมีชื่อไทย.คอมใน คอลัมน์ Internet
folio และนั่นก็หมายถึงการที่ชื่อไทย.คอมจะไปจดทะเบียนในตลาด แนสแดค แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น
พิพัฒน์ และทีมงานจะรับมือกับการแข่งขัน ได้อย่างไรกับการรับจดทะเบียนชื่อเว็บไซต์ไทย
ไม่ใช่ชื่อไทย.คอมเท่านั้น แต่คู่แข่งรายใหม่ ที่เข้าสู่ตลาดกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ