ชิน คอร์ป อ่วมผลประกอบการพลิกขาดทุน 1.7 พันล้านบาทจากปีก่อนกำไรกว่า 2 พันล้านบาท โยนเหตุต้องเผื่อการด้อยค่า"ไอทีวี" เกือบ 2 พันล้านหลังถูกยกเลิกสัญญาสัมปทาน ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อในโอเคแคปิตอลตั้งด้อยค่าเกือบ 450 ล้านบาท ส่วนธุรกิจหลักมือถือกำไรวูบเกือบ25% หลังทุ่มงบการตลาดดันต้นทุนพุ่ง 22% ด้านบอร์ดมีมติตั้ง"วิรัช อภิเมธีธำรง" รั้งตำแหน่งประธานบอร์ดแทน "พงส์ สารสิน" ด้านตำรวจ คาดสรุปสำนวนคดี "กุหลาบแก้ว" ไม่เกินสัปดาห์นี้ก่อนส่งไม้ต่อให้อัยการดำเนินการ
นายสมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN แจ้งผลการดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 1/50 โดยงบรวมบริษัทขาดทุนสุทธิ 1,718 ล้านบาท หรือ 0.54 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,225 ล้านบาท หรือ 0.74 บาท
ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากในช่วงไตรมาส 1/50 มีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานของสายธุรกิจสื่อจํานวน 1,973ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินภายใต้สัญญาสัมปทาน ค่าลิขสิทธิ์และอุปกรณ์ของไอทีวี ดังนั้น ภายหลังการบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินดังกล่าวทั้งหมดไตรมาสนี้แล้ว
นอกจากนี้ยังรับรู้การด้อยค่าของเงินลงทุนใน OK จํานวน 447 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2549 ไม่มีรายการดังกล่าว และผลประกอบการของ OK ที่สูงขึ้นจากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่สูงขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งผลกําไรของเงินลงทุนใน ADVANC ที่ลดลงถึง 710 ล้านบาทหรือ 31.3% จากจํานวน 2,265 ล้านบาทในไตรมาส 1/49 เป็นจํานวน 1,555 ล้านบาทในไตรมาส 1/50
ในส่วนของธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ (ดําเนินงานหลักโดย SATTEL) ผลการดําเนินงานรวมที่ได้จากสายธุรกิจดาวเทียมและต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 20 ล้านบาทในไตรมาส 1/2549 เป็นกําไรสุทธิจํานวน 61 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2550 ทั้งนี้เป็นผลจากกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค มีผลขาดทุนสุทธิจํานวน 1,106 ล้านบาท ซึ่งรวมขาดทุนจากการด้อยค่าในค่าความนิยมใน OK ที่บันทึกในไตรมาส 1/2550 จํานวน 447 ล้านบาท โดยหากไม่รวมผลขาดทุนจากการด้อยค่าในค่าความนิยมดังกล่าวแล้ว ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจะมีขาดทุน 659 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนสูงขึ้นจากไตรมาส 1/2549 จากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
ด้านสายธุรกิจสื่อ ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติให้สถานีโทรทัศน์ ITV ยุติการออกอากาศเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550 และสํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้มีหนังสือลงวันที่ 7 มีนาคม 2550 บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานฯ และแจ้งให้ ITV ส่งมอบทรัพย์สินที่ ITV มีไว้ใช้ในการดําเนินกิจการตามสัญญาเข้าร่วมงานฯคืนให้สปน. ซึ่งการบอกเลิกดังกล่าวเป็นเหตุให้ ITV จําเป็นต้องหยุดดําเนินธุรกิจสถานีโทรทัศน์ในระบบยูเอชเอฟ เป็นผลให้ผลการดําเนินงานของธุรกิจสื่อลดลงจากกําไรสุทธิ 54 ล้านบาทในไตรมาส 1/49 เป็นขาดทุนสุทธิ จํานวน 2,161 ล้านบาท ในไตรมาส 1/50 โดยมีสาเหตุหลัก จากการด้อยค่าของทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการถูกบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานฯ และความจําเป็นที่ต้องหยุดดําเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 สปน. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเรียกร้องให้ ITV ชําระหนี้ ค่าตอบแทนส่วนต่างจํานวน 2,210 ล้านบาท ค่าตอบแทนสัมปทานงวดที่ 12 จํานวน 677 ล้านบาท ค่าดอกเบี้ยของค่าตอบแทนส่วนต่างจํานวน 562 ล้านบาท และค่าปรับผังรายการจํานวน 97,760 ล้านบาทและมูลค่าทรัพย์สินส่งมอบไม่ครบ จํานวน 656 ล้านบาท ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่สปน. ไม่เคยเรียกร้องการชําระหนี้จาก ITV มาก่อน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.02 แสนล้านบาท
ตั้ง"วิรัช"รั้งประธานบอร์ด
นายสมประสงค์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติแต่งตั้งดร.วิรัช อภิเมธีธำรง เข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ แทนนายพงส์ สารสิน ที่ลาออก พร้อมตั้งนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ รวมทั้งแต่งตั้งนายสมประสงค์ บุญยะชัย เข้าดำรงตำแหน่งอนุกรรมการสรรหา และอนุกรรมการกำหนดค่าตอบแทน แทนนายบุญคลี ปลั่งศิริ
ADVANCกำไรวูบเกือบ25%
นายสมประสงค์ ในฐานะกรรมการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC กล่าวว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/50 ของบริษัทมีกำไรอยู่ที่ 3,983.79 ล้านบาท หรือ 1.35 บาทต่อหุ้น ขณะที่ช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมามีกำไรอยู่ที่ 5,289.66 ล้านบาท หรือ 1.79 บาทต่อหุ้น โดยลดลง 1,306 ล้านบาท หรือ 24.7%
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของกำไรเนื่องจากรายได้จากการให้บริการและเช่าอุปกรณ์ในอยู่ที่ 19,493 ล้านบาท ลดลง 1,774 ล้านบาท หรือ 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2549 เนื่องจากราคาเฉลี่ยและรายได้ต่อเลขหมายลดลง เป็นผลมาจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดที่ยังคงมีความรุนแรง ขณะที่รายได้จาการขายอุปกรณ์อยู่ที่ 4,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 585 ล้านบาทหรือ 17.1% จาก 3,421 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้านค่าใช้จ่ายของบริษัท ต้นทุนอยู่ที่ 3,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 675 ล้านบาท หรือ 22.5% จาก 3,000 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2549 เนื่องจากการปริมาณการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 1 ปี 2550 เท่ากับ 3,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 309 ล้านบาท หรือ 11.0% จาก 2,817 ในไตรมาส 1 ปี 2549 สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกิจกรรมทางการตลาด ค่าใช้จ่ายด้านแบรนด์และช่องทางการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น
SATTEL พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร
นายดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ กรรมการ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL แจ้งผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/50 โดยงบรวมบริษัทมีกำไรอยู่ที่ 134.88 ล้านบาท หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น ขณะที่ช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาบริษัทขาดทุนสุทธิ 58.20 ล้านบาท หรือ 0.05 บาทต่อหุ้น โดยหากพิจารณาในงบเฉพาะกิจการในช่วงไตรมาส 1/50 บริษัทขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 40.74 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น ขณะที่ช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 202.24 ล้านบาท หรือ 0.19 บาทต่อหุ้น
ในส่วนของผลการดำเนินงานของบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL บริษัทมีกำไรอยู่ที่ 56.50 ล้านบาท หรือ 0.09 บาทต่อหุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 61.35 ล้านบาท หรือ 0.10 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงดังกล่าวเกิดจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการบันทึกของเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะกิจการจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนในไตรมาสที่ 1/50 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 50 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 44 โดยทำให้กำไรสุทธิลดลงจำนวน 25 ล้านบาท เนื่องจากงบการเงินเฉพาะกิจการไม่ได้รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย
โบรกฯแนะขายหุ้น SHIN
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บีพีท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่บริษัทในกลุ่มชิน มีผลประกอบการที่ลดลงนั้น เป็นผลที่เกิดตามสภาพวะทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยธุรกิจหลักของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในลักษณะสัมปทาน ซึ่งในขณะนี้แม้ว่าจะมีปัญหาจากการที่มีกลุ่มเทมาเซ็กเข้ามาถือหุ้นแทนผู้ถือหุ้นเดิม โดยอาจจะส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าสุดท้ายจะสรุปอย่างไร
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า บริษัทไม่ได้มีการทำบทวิเคราะห์หุ้น SHIN ตั้งแต่ช่วงที่บริษัทดังกล่าวได้มีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และบริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกมา ไม่ควรเข้าไปลงทุน เนื่องจากหุ้นมีสภาพคล่องที่น้อย เพียง 4% และจะนำไปสู่การถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ต่อไปประกอบกับราคาหุ้นมีการแกว่งตัวค่อนข้างรุนแรง จึงมีความเสี่ยงต่อนักลงทุนรายย่อย
“บริษัทแนะขายหุ้นSHINมานานแล้วตั้งแต่ช่วงที่มีการทำเทรนเดอร์ ซึ่งนักลงทุนไม่ควรที่จะเข้ามาลงทุนหุ้นSHINอีก โดยบริษัทไม่ได้ดูหุ้นนี้อีกต่อไป จากที่มีความเสี่ยงหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพคล่องที่ต่ำ และยิ่งไอทีวีมีปัญหาก็ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมอีก ”นักวิเคราะห์ กล่าว
ตร.แจงกุหลาบแก้วคืบหน้า
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.รณรงค์ ยั่งยืน ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าของการสอบสวนคดีกุหลาบแก้วว่า พล.ต.ท.พิจาร จิตติรัตน์ เจรตำรวจ (สบ 9) ซึ่งรับผิดชอบเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการสรุปสำนวนการสอบสวนของคดีส่งให้กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.แล้ว แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เดินทางไปราชการที่ประเทศจีน และเพิ่งเดินทางกลับมาถึงวานนี้(15 พ.ค.) ซึ่งจะรีบดำเนินการตรวจสอบสำนวนการสอบสวนคดีให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
พล.ต.ท.รณรงค์ กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ทาง ตร.ได้ดำเนินการในคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีส่วนใหญ่เป็นภาษาต่างประเทศ และต้องทำการแปล จึงเสียเวลาค่อนข้างมาก ทั้งนี้ หาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พิจารณาสำนวนคดีเสร็จแล้ว พล.ต.ท.พิจาร พร้อมชุดสอบสวนก็ยังต้องเข้าชี้แจงสำนวน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก่อน ซึ่งคาดว่าไม่เกินภายในสัปดาห์นี้ เมื่อเสร็จแล้วจึงสามารถส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการตามกฎหมายต่อไปได้
ส่วนกรณีที่ นายไพศาล พืชมงคล โฆษกคณะอนุกรรมาธิการการตำรวจและสิทธิมนุษยชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ออกมากำหนดระยะเวลาในการดำเนินคดีภายใน 1 สัปดาห์เนื่องจากเห็นว่าล่าช้ามาเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยหากยังไม่มีความคืบหน้าทางคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตรวจสอบอาจเชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาสอบถามนั้น พล.ต.ท.รณรงค์ กล่าวว่า หากทาง สนช.เห็นว่า การทำงานของตำรวจล่าช้าก็พร้อมที่จะเข้าชี้แจงการทำงานกับคณะกรรมาธิการ เพราะขณะนี้ก็ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่ ซึ่งคดีก็ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม การทำสำนวนก็ต้องรอบคอบเพราะเป็นคดีสำคัญ และคาดว่าจำสามารถสรุปสำนวนยื่นให้อัยการได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน
|