Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 พฤษภาคม 2550
CPFไตรมาส1ขาดทุน1.1พันล.อ้างเหตุต้นทุนพุ่งเงินบาทแข็ง             
 


   
www resources

โฮมเพจ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร

   
search resources

เจริญโภคภัณฑ์อาหาร, บมจ.
อดิเรก ศรีประทักษ์




CPFไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุน 1,135 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศซบเซา ราคาขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ขณะที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับเพิ่ม รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ส่วนต่างค่าเงินต่ำลง มั่นใจไตรมาส 2 ดีขึ้นแน่ เหตุผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนที่ดีสู่บริษัทแม่ ขณะที่ราคาหุ้น CPF วานนี้ลดลง 0.43%

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ CPF (งบรวม)ไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 1,135.51 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 549.64 ล้านบาท ส่งผลให้จากเดิมที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 8 สตางค์เป็นขาดทุนต่อหุ้น 16 สตางค์ แม้ไตรมาสนี้จะมียอดขายรวม 29,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน 6% โดยกิจการที่ไปลงทุนในต่างประเทศเติบโตตามเป้าหมาย ซึ่งยอดขายในไตรมาสนี้ เป็นรายได้จากกิจการในประเทศไทย 69 % รายได้จากการส่งออก 17 % และรายได้จากกิจการในประเทศอื่น ๆ 14%

โดยผลกระทบจากภาวะสินค้าล้นตลาดและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ราคาสินค้าเนื้อสัตว์ที่ขายในประเทศไทย โดยเฉพาะสุกร ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ประกอบกับข้าวโพดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ มีการปรับตัวของราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแข็งค่าขึ้นผลจากเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนต่ำลง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปีนี้ CPFได้เปลี่ยนนโยบายการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย กิจการที่มีอำนาจควบคุมร่วม หรือบริษัทร่วมในงบการเงินเฉพาะกิจการ จากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุน ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีฉบับวันที่ 26/2549 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีผลกระทบต่องบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท แต่มีผลกระทบต่องบการเงินเฉพาะกิจการ

ทำให้กำไรสุทธิที่รายงานในงบการเงินเฉพาะกิจการมีจำนวนแตกต่างจากกำไรสุทธิที่รายงานไว้ในงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท โดยยอดแตกต่างที่มีสาระสำคัญคือ การบันทึกเงินปันผลรับจากบริษัทย่อยที่จัดสรรมาจากกำไรสะสมของบริษัทย่อยในงบเฉพาะกิจการของบริษัท มีผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของงบเฉพาะกิจการภายหลังการปรับนโยบายบัญชี ไม่แตกต่างจากก่อนการปรับมากนัก

“ ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบกับภาวะราคาข้าวโพดที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์เพื่อการเลี้ยงสัตว์ที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ผู้ผลิตเนื้อสัตว์ในประเทศต่างๆ ก็ประสบกับความท้าทายเช่นเดียวกับประเทศไทย ทุกคนต้องมีการปรับตัว โดยกลุยทธ์หลักของ CPF นั้น ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องในการสร้างตราสินค้าและความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) พร้อมออกสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่มีรสชาดดีหลากหลายประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการขยายจุดจำหน่ายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น

สำหรับกิจการที่ CPF ไปลงทุนในต่างประเทศได้ส่งผลตอบแทนกลับมาตามเป้าที่เราตั้งไว้ โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำที่เราไปลงทุนในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และจีน สำหรับประเทศตุรกีก็มีการพลิกกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปีนี้ตุรกีน่าจะส่งผลกำไรดีกว่าปีที่ผ่านมามากพอสมควร จึงคาดการณ์ว่า ภาวะธุรกิจโดยรวมจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป” นายอดิเรก กล่าว

สำหรับราคาหุ้น CPF วานนี้พบว่าเปิดตลาดที่ 4.62 บาทและราคาค่อย ๆ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.58 บ่ายโดยเฉพาะช่วงบ่ายที่ประกาศผลการดำเนินงานออกมาพบว่าราคาหุ้นลดลงมาอยู่ที่ 4.52 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 4.58 บาท ลดลง 0.02 บาท คิดเป็น 0.43% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 43.85 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us