นิปปอนฯวางยุทธศาสตร์แผน 5 ปี (2550-2555) ต้องขึ้นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมนี้ ขนาดของส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 30% กำหนดแผนระยะสั้น ขยายโรงงานจัดซื้อที่ดินรองรับขยายกำลังการผลิต กำหนดผลิตภัณฑ์ให้ตรงกลุ่มลูกค้า รวมทีมฝ่ายขายและการตลาด เพื่อความสำคัญในการทำธุรกิจและคุมต้นทุน ส่วนแผนระยะกลางพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ และสูงสุดแผนระยะยาวสินค้าทุกตัวเป็นที่ยอมรับของลูกค้า สินค้ามีสภาพคล่องในการหมุนเวียนในตลาด
นายสืบพงศ์ พูนศรัทธา ประธานบริหาร นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดสีว่า ในปีนี้ภาพต่างๆ ไม่คอยเป็นบวก ส่วนใหญ่จะออกเป็นลบ ทั้งเรื่องการเมือง อัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อต้นทุน การลงทุนโดยรวมในปีนี้น่าจะขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และรวมถึงผลกระทบจากมาตรการสำรองเงินตราต่างประเทศ 30% รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้คงโตไม่ถึง 4% ปัจจัยเหล่านี้ มีผลต่ออุตสาหกรรมสี ทำให้รายได้ของประชากรลดลง โครงการจัดสรรต่างๆ พยายามลงทุนแล้วรีบเก็บงานให้เสร็จ ระมัดรวังในการลงทุนมากขึ้น
"ถึงแม้ทางนิปปอนจะมองว่าตลาดรวมจะมีความต้องการชะลอตัว แต่มูลค่าตลาดสีในปีนี้น่าจะมีมูลค่าเกิน 20,000 ล้านบาท โดยในปี 2549 บริษัทมียอดขายประมาณ 4,300 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20% นั้นหมายความว่าอีก 80% ทางบริษัทยังมีช่องที่จะให้ผลิตภัณฑ์สีนิปปอนเข้าไปเสนอบริการให้แก่ลูกค้า ดังนั้น ต่อให้สถานการณ์ไม่ดี นิปปอนจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและยอดขายให้ได้ ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การมุ่งทำสิ่งที่บริษัทถนัด อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมทาอาคาร โดยที่จะมุ่งคุมตลาดในสิ่งที่นิปปอนถนัด ไม่หว่านแหลงไป ซึ่งไม่คุ้มค่ากับงบลงทุน และไม่ก่อประโยชน์ในเชิงการตลาดเท่าไหร่นัก ดังนั้น การทำตลาดสีของบริษัทต้องไปสู่ความต้องการของตลาด เพื่อบริหารความเสี่ยง และบริหารต้นทุน ขณะเดียวกัน การใช้บุคลากรภายในจะมีกำลังมากขึ้น โดยจะมีการรวมทีมฝ่ายการตลดาและฝ่ายขายเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า ในบางครั้ง สถานการณ์ก็สร้างโอกาสด้วย เราต้องบริหารทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด "นายสืบพงศ์ กล่าวถึงการปรับตัวของบริษัทในภาวะปัจจุบัน
ประธานบริหารนิปปอนฯยังได้ชี้ถึงยุทธศาสตร์ของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2550-2555) ว่า ในแผนระยะสั้น ทางบริษัทจะต้องสร้างตำแหน่งในตลาดให้ชัดเจน พิจารณากลุ่มลูกค้าว่ากลุ่มใดมีศักยภาพต่อบริษัท ตรงนี้จะต้องลุยทุกภาคส่วนของประเทศโดยการขยายตลาดออกไปให้มากที่สุด อย่างเช่น จุดยืนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ที่บริษัทมีผลิตภัณฑ์สีไร้กลิ่น ไม่มีอัตรายต่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นรายแรกในตลาด หรือแม้แต่สีพ่นรถยต์ ตรงนี้หากไม่ระมัดรวังแล้วจะมีผลต่อการทำตลาด เนื่องจากที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสีพ่นรถยนต์ จะใช้สีน้ำมัน แต่เมื่อส่งไปต่างประเทศ จะมีคำถามว่า มีการใช้แรงงานเด็กหรือไหม ถ้าทารุณเด็ก สินค้าดังกล่าวจะถูกกีดกัน นอกจากนี้แล้ว การทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ จะเป็นอีกทางหนึ่งในการตอกย้ำแบรนด์ของนิปปอนให้ลูกค้าได้เข้าใจ โดยจะต้องพยายามทำหนังโฆษณาที่มีเนื้อหาเข้าถึงลูกค้าและลูกค้าสัมผัสได้ เป็นต้น
โดยในปี 2550 บริษัทมีทิศทางการลงทุนที่ชัดเจน เป็นการลงทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เช่น ซื้อที่ดินประมาณ 60 ไร่ บริเวณบางประกง เพื่อทำโรงงานผลิตสีน้ำเคลือบรถยนต์ และเมื่อต้นปีนี้ ได้ลงทุนประมาณ 25 ล้านบาท ในการปรับปรุงโรงงานเดิมให้ดีขึ้นและภายในเดือนกรกฎาคม จะขยายโรงงานเพื่อทำตัวกัดเหล็กเพื่อให้สีติด นอกจากนี้ นิปปอนยังได้ซื้อคลังสินค้าประมาณ 30 ล้านบาท ที่บริเวณอิสเทิร์นซีบอร์ดประมาณ 6 ไร่ เพื่อสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้า เพื่อป้อนสินค้าให้แก่บริษัท เจอเนอรัล มอเตอร์ ในส่วนของโรงงานที่พระประแดงนั้น กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะขยายโรงงานเพิ่มขึ้น แต่พื้นที่บริเวณดังกล่าวสามารถขยายพื้นที่ได้อีกมาก
สำหรับตลาดสีในแต่ละกลุ่มลูกค้านั้น ประธานบริหารกล่าวว่า ในส่วนของสีรถยนต์มีแนวโน้มที่บริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีบริษัทที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ใช้บริการสีสินค้าจากบริษัททั้งหมด เช่น ฟอร์ด,เจเนอรัลมอเตอร์ เป็นต้น ทำให้คาดว่าปีนี้ กลุ่มสินค้าสีรถยนต์จะเติบทางยอดขายได้ 10% และหากแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น ทางบริษ้ทจะขยายการลงทุนทางด้านโรงงานเพิ่มขึ้น
ตลาดสีทาอาคาร ทางบริษัทจะมุ่งมั่นยกระดับผลิตภัณฑ์สีทาอาคารทั้งระดับพรีเมี่ยมและสีระดับกลางลงล่าง ให้เป็นรับรู้และลูกค้าให้การยอมรับมากขึ้น สีทาบ้าน ทางนิปปอนจะมุ่งให้ความสะดวกสบายแก่คู่ค้าและให้บริหารร้านค้า มีทีมเข้าไปช่วยร้านค้า หรือ การเป็นที่ปรึกษาให้แก่ร้านค้า และพัฒนาสีทางบ้านให้มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของคุณภาพและประโยชน์ เช่น ทนต่อสภาพแวดล้อม กันเชื้อรา และต้องไม่สร้างความรำคาญให้แก่ผู้อยู่อาศัย อย่างในโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
" กลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้น นอกเหนือจากการออกสินค้าให้ตรงลูกค้าแล้ว การเผยแพร่ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน โดยทางบริษัทได้มีความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยจุฬาและธรรมศาสตร์ ที่จะใช้วิชาความรู้จากบริษัทแม่จากญี่ปุ่น มาส่งเสริมการออกแบบสีให้เข้ากับโครงการ หรือโครงการจัดสรรก็ทำได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจในวงกว้างเกี่ยวกับการทำสีให้เข้ากับแต่ละตลาด "
นายสืบพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของแผนระยะกลางที่ทางบริษัทได้วางแนวทางเดินไว้ จะเป็นยุคของการพัฒนาบุคลากร ซึ่งในแต่ละปี ทางบริษัทได้เตรียมงบส่วนนี้ประมาณ 20 ล้านบาท ในการส่งเสริมประสิทธิภาพและคุณภาพของบุคลากรให้ดีขึ้น ในส่วนของแผนระยะยาวนั้น ขณะนี้นิปปอนพึ่งเริ่มต้นของการเดินตามแผนที่วางไว้ แต่จุดมุ่งหมายหลักข้างหน้าแล้ว นิปปอนต้องเป็นผู้นำในตลาดสี เป็นที่ยอมรับและมีการขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมนี้
" ทุกอย่างเราต้องกล้าคิด การทำ และถูกต้องด้วย เราต้องสร้างคู่ค้าให้โตตามเราไปด้วย นั่นหมายความตามแผน 5 ปีข้างหน้าแล้ว บริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมนี้ไม่ต่ำกว่า 30% หรือมูลค่าขายของบริษัทประมาณ 8,700 ล้านบาท จากที่ในปี 2550 คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 5,200 ล้านบาท และวางเป้าอัตราเติบโตรวมตลอด 5 ปีประมาณ 20% หรือโตปีละ 4-5 % ต่อปี "
ปัจจุบัน บริษัทีโอเอ มีส่วนแบ่งรวมในตลาดสีประมาณ 30% (นิปปอนประมาณ 20%), สีทาบ้าน ทีโอเอประมาณ 45% (ไอซีไอประมาณ 12%) ,สีรถยนต์ นิปปอนอันดับ 1 ประมาณ 44% (Kansai ประมาณ 40% ) ,สีเครื่องใช้ไฟฟ้า นิปปอนอันดับ 1 ประมาณ 40% (Thai Kansai Paint ประมาณ 12% ) และสีซ่อมรถยนต์ อันดับ 1 คือ Dupont 1 ประมาณ 28% และนิปปอนประมาณ 18%
|