ต้องยอมรับว่าคีรีมีความสามารถอย่างมากในการล็อบบี้เกษม จาติกวณิช ให้เข้ามาเป็นประธานกรรมการบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) (BTSC) ได้เป็นผลสำเร็จ
คีรีต้องการให้โครงการใหญ่ของเขาสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนให้ มากที่สุดแล้วคนที่มีเครดิตอย่างเกษมจะช่วยเขาได้อย่างมากในเรื่องนี้
"ผมรับเป็นประธานรถไฟฟ้า BTS ให้กับคีรีทั้ง ที่ผมก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันกับเขาเป็นพิเศษ
เคยพบแต่กับ คุณมงคลพ่อของเขาบ้างเท่านั้น เอง แต่เหตุผลที่ผมต้องรับ ก็คือ
1. เป็นเพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ ต่อประชาชน
ก็อยากจะช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการจราจร แล้วตอน นั้น ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากแค่ช่วยกู้เงินไม่ซับซ้อน
ไม่ผูกพันอะไร ระยะทางแค่ 10 กิโลเมตร ลำพังแค่เงินธนายงก็น่าจะเอาอยู่
2. คีรีเป็นคนที่น่าชื่นชมมาก เพราะเป็นคนที่คิดอะไรใหญ่ดี
กล้าคิด กล้าทำงานใหญ"่
เกษมเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงสาเหตุของการเข้ามารับอภิมหาโปรเจกต์โครงการนี้
แต่ ที่ไหนได้ โครงการที่ว่าไม่น่าจะยากโครงการนี้ กลายเป็นเรื่อง ที่ยากที่สุด
หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตการทำงานของเขา และติดพันยืดเยื้อที่สุด เพราะจากเดิม ที่คาดไว้ว่าใช้เวลาประมาณ
3 ปีกลับถูกลากยาวนานไป จนถึง 7 ปี
แต่กว่าเกษมจะตกลงมาเป็นประธานให้คีรีได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน
ต้องเจรจากันหลายรอบทีเดียว ในเวลานั้น เกษมอายุย่างเข้าวัย 67 ปี เลยวัยเกษียณมาหลายปี
เหตุผลสำคัญ ที่เขาปฏิเสธก็คือ ต้องการพักผ่อน ในขณะที่ทางคีรีเองก็ไม่ยอมหยุดความตั้งใจเหมือนกัน
คีรีต้องการเกษมมานั่งเป็นประธานโครงการนี้อย่างมาก เพราะชื่อเสียง ของความเป็นนักบริหารมืออาชีพชั้นนำของเมืองไทย
เจ้าของตำนานการต่อ สู้ และความสำเร็จขององค์กรระดับชาติมากมาย และเป็นผู้ที่มีมือสะอาด และเครดิตดีที่สุด
เกษมจบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อดีตเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าการไฟฟ้ายันฮี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ประธานบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ จำกัด ฯลฯ
"ผมพลาดเพราะผมหลวมตัวไปงานนางงามจักรวาลตามคำชวนของคีรี
แท้ๆ เชียว ... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าอายุปูนนี้แล้วยังชอบดูสาวๆ คีรีฉลาด ที่
เอานักกอล์ฟชั้นนำอย่างเล็ตแบ็ตเตอร์มาล่อว่า จะไปงานนี้ด้วยต่างหาก เรา
มันเป็นแฟนกอล์ฟอยู่แล้วเลยพลาดไม่ได้ แต่ปรากฏว่าวันงานคีรีขนเอาลูก หลานไปอ้อนวอนจนใจอ่อน
ยอมรับในที่สุด" (จากเรื่อง เกษม จาติกวณิช คือ ชีวิต และความหวัง
เรียบเรียงขดยวัลลยา)
ลูกหลาน ที่เกษมกล่าวถึงคนหนึ่งคือ อรรถไชย ตั้งจิตนบ กรรมการ รองผู้จัดการของบริษัทธนายง
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ร่วมทุนรวมทั้งเป็นพันธมิตรเก่า แก่กับตระกูลกาญจนพาสน์มานาน
และอรรถไชยคนนี้ก็คือ พี่ชายของลูก สะใภ้คนหนึ่งของเกษม
มรสุมลูกแรก ที่ถาโถมใส่รถไฟฟ้าอย่างแรงในเรื่องถูกชาวบ้านต่อต้าน เรื่องการใช้พื้นที่ ที่สีลมเป็นอู่จอดรถ
ซึ่งเป็นปัญหากับชาวบ้านนั้น ตอนแรก เกษมก็ยังมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะตัวเองนั้น ผ่านมามาก และหลายครั้ง
แล้ว เมื่อคราว ที่ทำเขื่อนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็น
เรื่องใหญ่ และเป็นจุดสำคัญในการสร้างความล่าช้าให้กับโครงการรวมทั้ง ปัญหาต่างๆ
ที่บานปลายออกไปมากมาย
หลังจากนั้น ก็ต้องคอยรับมือกับบรรดาผู้นำต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับ โครงการรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะป็นร้อยเอกเฉลิม อยู่บำรุง, พล.ต.ท สล้าง บุนนาค, บุญชู โรจนเสถียร,
คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช
ระยะเวลา ที่ผ่านไป และระยะทาง ที่เพิ่มขึ้นสร้างปัญหาใหญ่ทางการเงิน อย่างใหญ่หลวง
ในอดีตเกษมยังเป็นคนไทยคนแรก ที่เป็นผู้เข้าไปเจรจากับ ธนาคารโลก เพื่อขอกู้เงิน
65 ล้านเหรียญมาสร้างเขื่อนภูมิพล ดังนั้น การที่ เวิลด์แบงก์ให้กู้ โครงการรถไฟฟ้า
BTS หากไม่ใช่เครดิตของเกษมส่วนหนึ่ง ก็คงไม่เกิดปาฏิหาริย์ ที่ใจดียอมให้กู้ และร่วมลงทุนด้วยเป็นแน่
เพราะ โครงการนี้รัฐบาลไทยไม่ได้มีส่วนในการเป็นผู้ค้ำประกันอะไรเลย
และแม้แต่ Dr. Gert Vogt จากธนาคารเงินทุน เพื่อการพัฒนาของเยอรมนี (KfW)
เจ้าหนี้รายใหญ่รายหนึ่งของโครงการนี้ก็คือ ผู้หนึ่ง ที่เคย ร่วมงานกับเกษมเมื่อสมัยยังอยู่ในตำแหน่ง ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
เมื่อตัดสินใจรับตำแหน่ง และเห็นการต่อสู้ของทีมงานบริหารหลายครั้ง ที่เกษมออกมาการันตีโครงการนี้ว่าเป็นโครงการที่บริสุทธิ์ และยิ่งใหญ่
โครงการหนึ่ง เขาเล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟังว่า "ผมเห็นรถไฟฟ้าวิ่งวันแรกถึงกับน้ำตาไหล"
เกษมได้สรุปบทเรียนของโครงการนี้ไว้ว่าความสำเร็จของการทำงาน โดยเฉพาะโครงการชนิดหินๆ
อย่างนี้ ปัจจุบัน ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ต้องรู้จักต่อรอง ไม่ว่าจะกับรัฐ
และกระแสคัดค้าน สถาบันการเงินผู้เกี่ยว ข้องอื่นๆ ซึ่งหลากหลายรูปแบบลักษณะ
เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันสูงสุด ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พอใจระดับหนึ่ง และการต่อรองที่ดีที่สุดสำหรับผมไม่ใช่
เพื่อชัยชนะแต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ "ผลสุดท้าย" ต่างหาก
เกษมยังย้ำอีกว่า "ถ้าเราศึกษาดูจะพบว่า คนที่ยิ่งใหญ่จริงศักดิ์ศรี
หน้าตา เป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญที่สุดคือ อะไรรู้ไหม ผลสุดท้าย ที่เรียกว่า
Bottom line" ต่างหาก ถ้าได้ผลสุดท้าย ที่พอใจ นั่นล่ะคนฉลาดตัวจริง