แบงก์ทหารไทย เปิดตัวเดือนเครื่องบุกธุรกิจรายย่อยเน้นเอสเอ็มอี เป็นหลัก หลัง‘ศิริ
การเจริญดี ’นั่งเอ็มดีเต็มตัว เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีเป็น 70%ของธุรกิจแบงก์ทั้งหมด
จากเดิมที่มีสัดส่วน 30%และเพิ่มเป็น 50%ในปีนี้ ฟุ้งปรับโครงสร้างสาขาสร้างกำไรเฉลี่ย
500 ล้านบาทต่อสาขาเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทภายในปีนี้
นายศิริ การเจริญดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)TMB เปิดเผยว่า
ธนาคารจะดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรายย่อย ที่จะเน้นภาคธุรกิจลูกค้าขนาดย่อมและขนาดกลาง(เอสเอ็มอี)
ที่มีขนาดธุรกิจประมาณ 50-200 ล้านบาท เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตสูงรวมทั้งยังเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุน
ธนาคารได้มีฐานลูกค้าประเภทดังกล่าวจำนวนมาก โครงสร้างลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอีที่ผ่านมา
มีสัดส่วนประมาณ 30%ของโครงสร้างลูกค้าทั้งหมด
โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 50%ในปีนี้ และในปี
2547 จะขยายสัดส่วนเป็น 70% ส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีขณะนี้ประมาณ
100,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อทั้งหมดประมาณ 300,000 ล้านบาท
กลยุทธ์ในการดูแลลูกค้าเอสเอ็มอีนั้น ธนาคารจะใช้ความสัมพันธ์และความใกล้ชิดกับลูกค้า
เข้าไปให้ความรู้และแนะนำในการดำเนินธุรกิจ ถึงแม้ว่าพนักงานธนาคารจะไม่มีความชำนาญทางด้านธุรกิจเฉพาะด้าน
แต่จะอาศัยความสัมพันธ์มีความไว้ใจและแลกเปลี่ยนความรู้ ที่นอกเหนือจากการแนะนำสินเชื่อแล้ว
ยังต้องการที่จะให้ลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์อื่นๆของธนาคารตามไปด้วย โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารมากกว่า
2 ผลิตภัณฑ์ต่อราย “ธุรกิจเอสเอ็มอี ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมากนัก โดยเฉพาะเรื่องผลิตภัณฑ์
หรือ สินค้า ที่รัฐบาลพยายามสนับสนุนให้เกิดขึ้น เช่น หนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล เชื่อว่ามีคุณภาพสามารถแข่งขันได้
แต่เมื่อผลิตสินค้ามาแล้วไม่มีเงินทุนสนับสนุนก็เกิดไม่ได้ ซึ่งแบงก์จะเข้าไปรับช่วงจากรัฐบาลที่ดูแลลูกค้าทางด้านเงินทุนหมุนเวียนและการตลาด”นายศิริกล่าว
ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารปรับโครงสร้างสาขาให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
โดยเป็นการจัดเป็นภาคธุรกิจและเขตธุรกิจ ที่จะให้บริการติดต่อประสานงานหรือให้คำตอบกับลูกค้าได้
โดยลูกค้าสามารถติดต่อกับสาขาทั้งหมดทั่วประเทศ 360 สาขา ซึ่งส่งผลให้ธนาคารมีธุรกิจและรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งจากรายได้ส่วนต่างดอกเบี้ยโดยตรง ยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
จากการปรับโครงสร้างสาขานั้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของสาขาเฉลี่ยแล้วมีกำไรมากกว่า
500 ล้านบาทต่อสาขา จากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของสาขาส่วนใหญ่จะขาดทุน
และคาดว่าในปีนี้ สาขาของธนาคารจะสามารถมีกำไรเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อสาขา
นอกจากการปรับโครงสร้างสาขา ธนาคารยังประเมินผลงานพนักงานของธนาคาร โดยจะให้ประเมินผลงานตามลำดับขั้น
หลังจากนั้นจะมีคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ในระดับสาขาจะให้ระดับเขตและระดับภาคเป็นผู้ประเมินหลังจากนั้นจะส่งมายังผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานที่เกี่ยวข้องรับพิจารณา
ซึ่งการประเมินผลงานของพนักงานสาขาจะทำได้ง่ายกว่าเพราะมีผลงานที่เป็นตัวเลขชัดเจน
แต่ในส่วนของสำนักงานใหญ่ที่เป็นสายงานสนับสนุนธนาคารก็จะมีวิธีการประเมิน หากพนักงานไม่ผ่านการประเมิน
ธนาคารจะมีโครงการอบรมเพื่อเสริมความรู้และเกลี่ยพนักงานให้อยู่ในหน่วยงานที่เหมาะสม
เชื่อว่าการประเมินผลงานดังกล่าวจะช่วยเสริมให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งยังเป็นผลให้ต้นทุนลดลง รายได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ