Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์30 เมษายน 2550
จับกระแสโบรกฯฝรั่ง4เดือนเก็บหุ้นไทย3.6หมื่นล้าน             
 


   
search resources

Stock Exchange




4 เดือน 7 โบรกฯฝรั่งเดินหน้าซื้อสุทธิหุ้นไทย 3.6 หมื่นล้าน เป็นสัญญาณแสดงการกระเตื้องหลังกระหน่ำขายสุทธิจากมาตรการกันสำรอง30% เดือนเมษา JPM และ CLSA ทำยอดซื้อสุทธิสูงสุด เน้นเก็บหุ้นฐานะการเงินมั่นคงมีเงินปันผลมากกว่า 5%, แนวโน้มธุรกิจเติบโตได้ดี,ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสม

หากขาดแรงซื้อของฝรั่งไปแล้ว การซื้อขายของตลาดหุ้นไทยก็คงจะซึมๆหงอยๆมีอาการเหมือนอย่างที่เห็นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีขึ้นก็ไม่ได้มาก ลงก็ไม่ได้เยอะ ไปไหนไม่ไกล ส่วนปริมาณการซื้อขายก็เบาบางวันละไม่กี่พันล้านบาท ต่างฝ่ายต่างก็กล้าๆกลัวๆ นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทิศทางของตลาดฯในช่วงนี้ก็คงต้องอาศัยแรงเทรดของฝรั่งเป็นสำคัญ

รายงานของ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)นครหลวงไทยว่า จากการศึกษาปริมาณการซื้อขายของโบรกเกอร์ต่างชาติจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ บล.เจพี มอร์แกน ประเทศไทย (JPM),บล. ซี แอล เอ เครดิต สวิส ประเทศไทย(CLSA),บล. เครดิต สวิส ประเทศไทย (CS),บล.ยูบีเอส ประเทศไทย (UBS),บล.ทีเอ็มบี แมคควอรี (TMBMACQ), บล.ภัทร(PHATRA),บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (DBSV) พบว่านักลงทุนต่างชาติมีมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้นตามลำดับ นับจากช่วงปลายปีที่แล้วเป็นต้นมาซึ่งมีมาตรการกันสำรอง30% โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิรวมกันกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท มีปริมาณการซื้อขายคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ต่อวัน เทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนเฉลี่ยที่ 32%

จากข้อมูลยังพบว่า การเทรดผ่านโบรกเกอร์ต่างชาติมีลักษณะที่กระจายตัวมากขึ้น โดยมีการสลับการเป็นผู้ซื้อ-ผู้ขาย เห็นได้จาก UBS ซึ่งในอดีตเคยเป็นผู้ซื้อสุทธิ กลับมาเป็นผู้ขายสุทธิในเดือนมีนาคม-เมษายน ในขณะที่ JPM ซึ่งที่ผ่านมาเคยเป็นผู้ขายสุทธิปัจจุบันก็กลายมาเป็นผู้ซื้อสุทธิแทน

ทั้งนี้ JPM และ CLSA นับว่าเป็น 2 โบรกเกอร์ต่างชาติที่มีมูลค่าซื้อสุทธิสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน หลังจากที่ JPM ติดอันดับเป็นผู้ขายสุทธิมาตลอดในช่วง 3เดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่ PHATRA, UBS และ CS มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในเดือนเมษายน

สำหรับ UBS, TMBMAQ, CS และ CLSA ถือเป็นโบรกเกอร์ที่มีมูลค่าซื้อสะสมสุทธิในปี 2550โดย UBS มีมูลค่าซื้อสะสมถึง 1.6 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับการเสนอมุมมองของ UBS เองในการปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม ขณะที่ JPM และ PHATRA ก็ยังครองสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในปีนี้

หากมองย้อนหลังก็จะพบว่า JPM, CLSA และ CS เป็นโบรกเกอร์ต่างชาติ 3 รายที่มีมูลค่าขายสุทธิในเดือนธันวาคมมากที่สุดหลังธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการกันสำรอง 30% ดังนั้นการกลับมาซื้อสุทธิของโบรกเกอร์ทั้ง 3 แห่งถือเป็นสัญญาณในเชิงบวก แสดงให้เห็นถึงมุมมองของโบรกฯต่างชาติที่ดีขึ้นตามลำดับ

นอกจากนี้จากประเมินยังพบว่า มีความเป็นไปได้มากที่ PHATRA และ DBS จะกลายเป็นผู้ซื้อ ขณะที่ UBS มีโอกาสเป็นผู้ขายสุทธิในช่วงเดือนเมษายน

บล.นครหลวงไทย ระบุเพิ่มเติมว่า การกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติจะส่งผลดีกับหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคาร โดยเฉพาะหุ้น 10 ตัวซึ่งมีคุณสมบัติเด่น 3 ประการ ประกอบด้วยฐานะการเงินมั่นคงมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% , แนวโน้มธุรกิจเติบโตได้ดีในปี 2550-2551 และราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมไม่น้อยกว่า15%

โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นของ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (DELTA), บมจ.ทุนธนชาต (TCAP), บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH),บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ,บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA),บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA),บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR),บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH),บมจ. อะโรเมติกส์ (ATC) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP)

ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นบวกกับเงินปันผลรับที่หลายบริษัทได้ทยอยจ่ายกันไปเกือบหมดแล้ว ดังนั้นแม้ดัชนีจะไม่ไปไหน แต่ฝรั่งที่ช้อนหุ้นไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้กำไรแล้วเห็นๆ เพราะฉะนั้นในการตัดสินใจลงทุนช่วงต่อไปของนักลงทุนรายย่อย ก็ควรจะต้องใช้ข้อมูลและดัชนีอื่นๆนอกเหนือจากแรงซื้อของต่างชาติเป็นตัวประกอบในการตัดสินใจด้วย เพื่อจะได้เห็นถึงกลยุทธ์และรูปแบบการลงทุนที่สมบูรณ์ขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us