ยังคงเกิดคำถามอย่างมากมายกรณีการฟ้องบริษัทแนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน)(N-PARK) โดยโจทย์ผู้เป็นเจ้าหนี้ คือบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย จำกัด ซึ่งมีการยื่นฟ้องล้มละลายตั้งแต่ปี 2543 หลังมีการผิดนัดชำระหนี้ โดยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2543 ศาลล้มละลายกลางได้มีการคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูของลูกหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2543
ทั้งนี้ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ผู้บริหารแผนของลูกหนี้ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทุกรายทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยตามจำนวนหนี้ตามคำสั่งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยในวันที่ 21 สิงหาคม 2545 ผู้บริหารแผนได้ชำระหนี้ด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนสำหรับหนี้ 276,612,980 บาท ด้วยการออกหุ้นจำนวน 27,661,298 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
ผ่านหลังลูกหนี้พ้นกระบวนการฟื้นฟูกิจการได้สรุปงบการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 ปรากฎว่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 ลูกหนี้มีสินทรัพย์รวม 16,539,772,000 บาท มีหนี้สิน 8,791,653,000 บาท และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 มีสินทรัพย์รวม 15,765,717,000 บาท และมีหนี้สินรวม 8,345,335,000 บาท โดยประเด็นที่ศาลต้องมีคำวินิจฉัย คือ ลูกหนี้เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่และเจ้าหนี้ผู้โจทน์ยังคงมีอำนาจฟ้องร้องให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่
ในเรื่องดังกล่าว ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางและมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/58 วรรคสามมีผลทำให้สภาพบังคับของศาลล้มละลายกลางที่มีคำสั่งเห็นชอบด้วยอแผนสิ้นผลไปและถือว่าแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่มีและไม่เคยมีหรือเกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น
สำหรับสถานะภาพเดิมของหนี้เดิมที่ลูกหนี้เป็นหนี้ทั้งหลายตามที่ได้ยื่นคำขอชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการยังคงมีอยู่และมิได้สิ้นไป ทำให้ลูกหนี้ยังคงมีความผูกผันต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในจำนวนหนี้เดิมก่อนวันที่ลูกหนี้ยื่นคำร้องโดยเมื่อหักกับหนี้สินที่ลูกหนี้ชำระไปแล้วจำนวน 986,919,341.15 บาท จาก 15,752,636,306 บาท ลูกหนี้ยังมีภาะต้องชำระหนี้อีก 15,765,716,964.85 บาท ซึ่งหากพิจารณาตามงบการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 ทรัพย์สินของลูกหนี้มีน้อยกว่าหนี้สินจำนวน 8,429,284,964.85 บาท
ด้านลูกหนี้นำสืบว่า ลูกหนี้ได้ชำระหนี้ตามแผนจนเสร็จสิ้น ก่อนหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2546 โดยหลังจากนั้นลูกหนี้ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุน 2,010 ล้านบาทโดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 ต่อ 1 ซึ่งเจ้าหนี้ผู้เป้นโจทย์ได้ใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม หลังการสืบความทั้ง 2 ฝั่งศาลล้มละลายกลางเห็นว่า คำสั่งของศาลฎีกาย่อมไม่มีผลย้อนหลังหลับทำให้กระทบถึงการชำระหนี้ที่ได้กระทำไปแล้วก่อนศาลฎีกาจะมีคำสั่ง ซึ่งหากจะตีความให้คำสั่งศาลฎีกามีผลย้อนกลับทำให้การชำระหนี้ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วก่อนหน้าศาลฎีกามีคำสั่งเช่นว่านั้นเสียไปตามที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์กล่าวอ้างย่อมจะส่งผลกระทบกระเทือนก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
สำหรับปัญหาที่ว่าเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์ยังคงมีอำนาจในการฟ้องร้องให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ามูลหนี้ตามฟ้องคดีได้มีการชำระเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์จังไม่มีอำนาจฟ้องให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย
ด้านศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาในคดีดังกล่าว โดยคำสั่งศาลล้มละลายแม้ว่าจะมีหน้าที่พิพากษาให้คู่ความฟังแทนศาลฎีกาแต่หากศาลฎีกามีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผน และมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นั้น คำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาย่อมมีผลทำให้คำสั่งเห็นชอบด้วยตามแผนของศาลล้มละลายกลางเป็นอันถูกยกเลิกเพิกถอนไปในตัว ความผูกพันตามแผนฟื้นฟูกิจการย่อมสิ้นผลไป สิทธิหน้าที่ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างไร ก็ย่อมกลับไปตามมูลหนี้เดิม
นายจุมพลภัทร์ พูลทรัพย์ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บมจ.แนเชอรัล พาร์ค แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์โดยระบุว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาฉบับลงวันที่ 31 ตุลาคม 2548 เรื่องยกคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความซึ่งศาลล้มละลายกลางอ่านเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2550 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำชี้แจงที่เกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฉบับลงวันที่ 5 มีนาคม 2546 เนื่องจากคำพิพากษาของศาลฎีกาฉบับลงวันที่ 31 ตุลาคม 2548 เรื่องยกคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ นั้น เป็นคำสั่งในประเด็นปัญหากฎหมายว่า "ให้ศาลนัดพิจารณาว่าสมควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่" ซึ่งหมายถึง ศาลล้มละลายกลางในคดีล้มละลาย มิใช่ศาลล้มละลายกลางในคดีฟื้นฟูกิจการ
นอกจากนี้ คำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ทำให้คำชี้แจงของบริษัทเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2547 เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างไร ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทยังคงประกอบกิจการและดำเนินธุรกิจต่อไปเป็นปกติ โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน และได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายครบถ้วนแล้ว
|