|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2550
|
|
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
หลังจากที่เธอเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale Law School) สาวฮิลลาลี่พบรักกับมิสเตอร์บิล คลินตัน ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษากฎหมายด้วยกันทั้งคู่ ระหว่างที่ออกเดทดูใจกันอยู่นั้น นอกจากฮิลลารี่จะทุ่มเทให้กับการเรียนในห้องเรียนแล้ว เธอยังร่วมกิจกรรมมากมายนอกห้องเรียน ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและเยาวชนผู้ยากไร้ ฮิลลารี่จบการศึกษาในปี 1973 ด้วยวิทยานิพนธ์เรื่องสิทธิของเยาวชน หลังจากนั้นเธอเข้าร่วมงานในตำแหน่งนิติกรให้แก่กองทุนพิทักษ์เยาวชน (The Children's Defense Fund) นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในสองนิติกรหญิงที่เข้าร่วมปฏิบัติการอิมพีชเมนท์ (impeachment) กรณีประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)
หลังจากทำงานได้ประมาณ 2 ปี เธอตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับบิล คลินตัน โดยในเดือนตุลาคม ปี 1975 ทั้งสองเข้าพิธีแต่งงานกันที่เมืองแฟเยทท์วิลล์ (Fayetteville) ในมลรัฐอาร์คันซอ (Arkansor) อันเป็นบ้านเกิดของบิล คลินตัน จากนั้นย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองลิตเทิล รอค (Little Rock) ซึ่งเป็นเมืองที่บิล คลินตัน เริ่มรณรงค์หาเสียงเพื่อตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา (Congressman) เป็นครั้งแรกบนถนนสายการเมืองของเขา และในปี 1978 เขาได้รับเลือกตั้งในฐานะผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ ในขณะที่ฮิลลารี่กับบทบาทใหม่คือ สตรีหมายเลขหนึ่งของอาร์คันซอ ก็เริ่มงานด้านกฎหมายและเยาวชนอีกครั้ง
เธอเข้าร่วมงานกับบริษัทกฎหมายดัง โรสลอว์ (Rose Law Firm) และด้วยวัยเพียง 30 ปี เธอได้รับเลือกจากประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการหน่วยงานบริการด้านที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ไม่แสวงผลกำไรสำหรับผู้ยากไร้ ในปี 1980 ฮิลลารี่ให้กำเนิดบุตรี ชื่อว่า เชลซี (Chelsea) ส่วนบิล คลินตันแพ้การเลือกตั้งสมัยต่อไป แต่สองปีต่อมาเขาก็ชิงกลับคืนมาได้ ระหว่างที่สามีเริ่มต้นชีวิตการเมือง ฝ่ายภรรยาก็รุ่งโรจน์ในด้านการกฎหมาย กระทั่งในปี 1988 และ 1991 ฮิลลารี่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ของผู้มีอิทธิพลทางด้านกฎหมายของสหรัฐฯ
ในปี 1992 บิล คลินตัน ชนะการเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 42 แห่งสหรัฐฯ ในขณะที่มิสซิสคลินตันได้ตำแหน่งเป็นสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ เธอเป็นสตรีหมายเลข 1 คนแรกของสหรัฐฯ ที่จบการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรี และถือเป็นสตรีหมายเลข 1 ที่มีบทบาทอำนาจสูงมากคนหนึ่งรองจาก เอลลินอร์ รูสเวลท์ ปีถัดมาเมื่อบิลขึ้นเริ่มงานบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ เขาได้มอบหมายให้สตรีหมายเลข 1 ของเขามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปฏิรูประบบเฮลท์แคร์แห่งชาติ เรียกทั่วไปว่า "คลินตัน เฮลท์แคร์ แพลน" หรือเรียกกันเล่นๆ ว่า "ฮิลลารี่แคร์" ซึ่งเป็นระบบที่สนับสนุนยูนิเวอร์แซลเฮลท์แคร์ที่ทุกคนในชาติได้รับบริการเฮลท์แคร์ที่เท่าเทียมกัน
แต่แคมเปญนี้ไปไม่รอด สมาชิกสภาคองเกรสโหวตไม่ผ่าน ทำให้ปัจจุบันระบบเฮลท์แคร์ในสหรัฐฯ ยังคงมีราคาแพงมาก และมีแนวโน้มแพงมากขึ้น คนจนไม่สามารถได้รับการรักษาพยาบาลได้เท่าเทียมกับผู้มีอันจะกิน (สำหรับประเด็นเรื่องระบบเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ นี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในนิตยสารผู้จัดการรายเดือน ฉบับกุมภาพันธ์ 2550)
แม้ว่าการปฏิรูประบบเฮลท์แคร์ของคลินตันจะไม่ผ่านสภาฯ ในครั้งนั้น แต่อย่างน้อยก็เป็นการจุดประเด็นในเรื่องนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ยิ่งกว่านั้น การปฏิรูประบบเฮลท์แคร์ ยังกลายเป็นจุดขายหลักของฮิลลารี่สำหรับแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ของสหรัฐฯ สมัยนี้ด้วย ในอดีต ฮิลลารี่ทำงานเคียงข้างสามีมาตลอด 2 สมัยที่เขาครองตำแหน่งสูงสุดของชาติ เป็นธรรมดาที่ฝ่ายตรงข้ามที่จะไม่ชื่นชอบในบทบาทของเธอที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานในทำเนียบขาวมากเกินไป
นอกจากนี้ ระหว่างที่สามีเธออยู่ในอำนาจ ปรากฏว่ามีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่โยงเธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับเคสที่ไม่โปร่งใส เช่น กรณีไวท์วอเตอร์ แอฟแฟร์ กรณีไล่เจ้าหน้าที่แผนกการเดินทางของทำเนียบขาว กรณีการสังหารตัวเองของวินซ์ ฟอสเตอร์ ที่ปรึกษาทำเนียบขาว และกรณีการใช้ข้อมูลของเอฟบีไอในทางมิชอบ แต่เธอสามารถผ่านพ้นข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ หลายคนวิจารณ์ว่า อาจเป็นเพราะว่าเธอคือสตรีหมายเลข 1 นั่นเอง ซึ่งต้องยอมรับว่า เรื่องราวครหาในอดีตของฮิลลารี่ไม่ได้ช่วยให้การรณรงค์หาเสียงของเธอในปัจจุบันมากนัก แต่กระนั้น ณ เวลานี้เธอยังคงเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งของตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าลงแข่งเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ในปี 2008
ในปี 2000 บิล คลินตัน ดำรงตำแหน่งครบ 2 เทอม ถึงเวลาพักงาน แต่อดีตสตรีหมายเลข 1 ยังไม่ยอมหยุด เธอเดินหน้าหาเสียงเข้าชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกจากมลรัฐนิวยอร์ก เธอจึงกลายเป็นสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ คนแรกที่ได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญในสภาคองเกรส ระหว่างดำรงตำแหน่งคองเกรสวูเม้น เธอทำงานหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่สิ่งแวดล้อม เด็ก ผู้สูงวัย และสถาบันครอบครัว นอกจากนี้ยังมีงานด้านกองกำลังของกองทัพอเมริกา และหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เธอเป็นผู้หนึ่งที่โหวตให้แก่การทำสงครามกับอิรัก ซึ่งเป็นชนักติดหลังเธอมาจนทุกวันนี้ และเป็นอุปสรรคในการหาทุนเพื่อใช้ในการหาเสียงของเธอ
จากผลสรุปการหาทุนในไตรมาสแรกของปีนี้ ฮิลลารี่ คลินตัน สามารถหาได้จำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐถือเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาติดๆ ด้วยจำนวน 25 ล้านเหรียญของวุฒิสมาชิกบารัก โอบามา (Barack Obama) แห่งมลรัฐอิลลินอยส์ แน่นอน ฮิลลารี่ คลินตัน ไม่ใช่ไพ่ใบเดียวและใบสุดท้ายของพรรคเดโมแครต ฉบับหน้าพบกับเรื่องราวของนักการเมืองหนุ่มหน้าใหม่ นามว่า "บารัก โอบามา"
|
|
|
|
|