|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2550
|
|
การเจ็บป่วยของคนเรามีการตั้งสมมุติฐานกันว่ามาจาก 2 สาเหตุคือ การเจ็บป่วยจากภายนอก นั่นก็คือเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ การรักษาของการเจ็บป่วยลักษณะนี้คือการใช้ยา การผ่าตัด ซึ่งเป็นแนวคิดประเภทเจ็บป่วยตรงไหนรักษาตรงนั้น
ส่วนการเจ็บป่วยอีกประเภทหนึ่งคือ การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเราเอง การดูแลรักษาก็ต้องทำให้ร่างกายของเรากลับมาเยียวยาตัวเองได้ สมัยโบราณการรักษาแบบนี้คือการนวด การฝังเข็ม ออกกำลังกาย
แนวคิดการรักษาด้วยวิธีการแบบเดิม ช่วง หลังถูกมองข้ามไป แพทย์บางกลุ่มมุ่งเน้นในการ ใช้ยา การผ่าตัด เพราะนั่นคือเส้นทางลัดที่รักษาดูแลอาการเจ็บป่วยโดยตรง และคนไข้ส่วนใหญ่ นิยมเพราะเห็นผลเร็ว
แต่เมื่อวิธีคิดในการรักษาเริ่มเปลี่ยนไป พร้อมๆ กับการเข้ามาของคำว่า "การแพทย์ทาง เลือก" ทำให้แนวคิดแบบเดิมกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง แน่นอนว่าคนที่กลับมาสนใจและลงมือศึกษาอย่างจริงจังถึงการรักษาด้วยร่างกายของเราเองก็คือ ต่างชาติ แล้วค่อยแพร่ขยายออกไป
จนถึงขณะนี้การแพทย์ทางเลือกกลายเป็นอีกแนวทางหนึ่งของการรักษา แล้วแต่ว่าแพทย์คนไหนจะหยิบยกวิธีการไหนมาใช้
Chiropractics ก็เป็นอีกหนึ่งของการแพทย์ทางเลือก ที่เข้ามาดูแลอาการเจ็บป่วยในเรื่องของกระดูกและข้อ ที่เรียกรวมๆ กันว่าโครงสร้างร่างกาย
โดย Chiropractics คือศาสตร์ของการจัดโครงสร้างกระดูกของร่างกาย โดยศาสตร์นี้ประเมินว่าโครงสร้างร่างกายคนเรา จะเสื่อมและเกิดปัญหาจากการใช้งานที่ยาว นาน การนั่ง นอน เดิน ทำงานผิดลักษณะทำให้โครงสร้างร่างกายเกิดความไม่สมดุล
การขาดสมดุลของร่างกาย จะไปขัดขวางระบบการเยียวยารักษาตัวเอง โดยธรรมชาติร่างกายจะมีระบบดูแล ปกป้องรักษาตัวเอง คิดง่ายๆ ว่า สมัยโบราณ เรายังไม่มีอาชีพแพทย์ ใครเป็นคนรักษาโรคภัยต่างๆ
คนเราจะหายเองด้วยระบบการเยียวยา ของร่างกายภายใน
รุจน์ โรจนาศรีรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ChiroFit Medical Fitness บอกว่า จุดเริ่มต้นของที่นี่มาจากการดูแลโครงสร้างกระดูก โครงสร้างร่างกายที่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องปวดคอ ปวดหลัง หมอนรองกระดูก ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ โดยใช้วิธีการบำบัดด้วยการจัดโครงสร้างกระดูกควบคู่กับการออกกำลังกาย
ความรู้ที่เขานำมารักษาก็คือหลักการของ Chiropractics ซึ่งเป็นการแพทย์สาขาหนึ่งที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีสถาบันที่เปิดสอนสาขานี้หลายสิบแห่ง มีผู้จบและทำงานในอยู่ในสาขานี้กว่า 40,000 คน
การเรียนสาขานี้ต้องจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ทั่วไป แล้วจึงเรียนต่อเฉพาะทางด้านแพทย์ Chiropractics หลักสูตร 5 ปี เป็นการเรียน 4 ปีและการฝึกงาน 1 ปี ซึ่งยังต่อสาขา เฉพาะออกไปได้อีก เช่น Chiropractics สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และนักกีฬา
เขาเลือกเรียนในสาขาโครงสร้างร่างกายที่ผิดปกติ จากสถาบัน Cleverland Chiropractic School ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในอันดับต้นๆ และเขาเป็นหนึ่งในห้าคนไทยที่จบสาขานี้แล้วกลับมาทำงานในเมืองไทย นอกนั้นเลือกที่จะทำงานในต่างประเทศ
"แนวคิดดั้งเดิมต้องการให้ผู้ป่วยออกกำลังกายที่บ้าน ตามความสะดวกของแต่ละคน แต่สุดท้ายพบว่า ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ คนไข้ไม่ได้ทำตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง ขาดที่ปรึกษาหรือผู้ที่ให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง จึงเกิดความคิดว่า เมื่อต้องดูแลผู้ป่วยอยู่แล้ว การให้คำแนะนำดูแลอย่างต่อเนื่องน่าจะมีประโยชน์มากกว่า
ผมเห็นว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ทั้งคนที่เจ็บป่วยอยู่แล้วกับคนที่ยังไม่เจ็บป่วย ซึ่งสาเหตุ จริงๆ ของคนป่วยก็คือการใช้งานกระดูก และโครงสร้างที่สะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ช่วงหลังอาการค่อยปรากฏให้เห็น หากเราสามารถหาวิธีป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำบัด การออกกำลังการปรับอิริยาบถบางอย่าง ทำให้ปัญหาเจ็บป่วยหายไปได้ ไม่บาดเจ็บเรื้อรัง"
แต่เขาก็ปฎิเสธอย่างหนักแน่นว่า แนวทางการรักษาด้วยการจัดโครงสร้าง จัดกระดูกแบบนี้ไม่ได้รักษาได้ทุกโรค เพราะจุดเริ่มต้นของการแพทย์สาขานี้ที่เข้ามาเมื่อ 10 ปีก่อน มีการ อวดอ้างสรรพคุณเกินความจริง บางรายถึงกับระบุว่ารักษาได้ทุกโรค ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิด
จุดเริ่มต้นที่ผิดพลาดทำให้การขอใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ของแพทย์สาขานี้ไม่สามารถขอใบอนุญาตได้ และตัวของรุจน์เองในช่วงเริ่มต้นถูกแจ้งความจับในข้อหาไม่มีใบอนุญาตนี้
ล่าสุดแพทย์สาขานี้สามารถขอใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งรุจน์บอกว่าเขาดีใจมากที่มีการยอมรับเสียที และเขาจะทำหน้าที่ตรวจสอบ การรักษาแบบนี้ว่ามีการอวดอ้างเกินจริงหรือไม่ เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับแพทย์รุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานในสาขานี้
โดยคนป่วยที่มาใช้บริการหรือรักษาที่นี่ ต้องเข้าใจก่อนว่าวิธีการนี้คือการบรรเทาอาการ ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพที่ดีอยู่แล้ว ให้ใช้งานได้คงอยู่ต่อไป แต่ที่เสียหายไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ คนไข้ต้องรู้ว่า ที่นี่ไม่ได้รักษาให้หายได้ทุกโรค หรือหายได้ทุกราย
โครงสร้างเมื่อผิดปกติจะทำให้ระบบ ร่างกาย และสมดุลภาพต่ำลง มีความเสี่ยงเกิดโรคอื่นๆ ได้ ที่นี่ไม่ได้รักษาโรคที่เกิดขึ้น แต่รักษาโครงสร้างที่เสียสมดุลไป เพื่อทำให้ระบบของร่างกายกลับสู่สมดุล เพื่อให้ร่างกาย รักษาตัวเอง เมื่อระบบร่างกายทำงานดีขึ้น อาการเจ็บป่วยต่างๆ อาจดีขึ้น หรือหายไป ซึ่งถือว่าเป็นผลพลอยได้
แต่ถ้าหากอาการมากเกินกว่าการฟื้นฟู จะช่วยเหลือเยียวยาได้ ก็จะแนะนำให้ไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน ใช้ยา ใช้การผ่าตัดรักษาตามแต่อาการ
"ผมกำลังบอกว่า โครงสร้างที่เสียหาย ไปแล้ว ไม่สามารถทำกลับมาใหม่ได้ แต่เราสามารถทำให้คนป่วยสามารถใช้ชีวิตกับโครงสร้างที่สมบูรณ์ที่ยังเหลืออยู่ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่ในกรณีโครงสร้างเสียหาย มาก การใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องเปลี่ยนไป"
สำหรับหลักการรักษาของที่นี่ คือการรวมการจัดโครงสร้างร่างกายกับการออกกำลังกาย เพื่อทำให้โครงสร้างร่างกายกลับมาสู่สมดุล ที่นี่ไม่เลือกแนวการใช้ยา เพราะการใช้ยารักษามีมากมายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้ยา แต่ขึ้นอยู่กับอาการเจ็บป่วยของคนไข้มากกว่า
"ในอเมริกามีการวิจัยพบว่า กว่า 70% ของคนไข้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด สามารถใช้ทางเลือกอื่นก็ได้ โดยทฤษฎีการจัดโครงสร้าง คือ การใช้ร่างกายปรับสภาพให้รักษาตัวเอง ในต่างประเทศก็เลี่ยงการใช้ยาและการผ่าตัด เราต้องทำงานผสมผสานกับแผนปัจจุบัน เพื่อให้คนไข้มีทางเลือก โดยการเลือกจะต้องเป็นทางเลือกที่เสี่ยงน้อยที่สุด"
chiroFit เปิดบริการครั้งแรกที่อาคาร ออลซีซั่น ถนนวิทยุ ภายใต้การดูแลและบริหารงานของรุจน์ มีหุ้นส่วนคือดาราหนุ่ม ภัทรพล ศิลปาจารย์ จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่อาคารโฮมเพลส ปากซอยทองหล่อ 13 มีเนื้อที่ ประมาณ 1,500 ตารางเมตร มีห้องตรวจร่างกาย ห้องออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกำลังกาย
ผู้ที่จะมาใช้บริการต้องเริ่มจากการสมัครสมาชิก ต่อด้วยการซักประวัติโดยรวม ตรวจเช็กร่างกาย ตรวจโครงสร้าง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต่างๆ ดูความสมบูรณ์ของร่างกาย เช่นเดียวกับการตรวจร่างกายนักกีฬา ที่นี่จะไม่ตรวจในสิ่งที่โรงพยาบาลทั่วๆ ไปตรวจกัน เช่น เบาหวาน หัวใจ แต่จะตรวจแบบเฉพาะทาง
จากนั้นจะนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อกำหนดรูปแบบการออกกำลังกายทั้งในเรื่องอุปกรณ์ ท่าการกำลังกาย ความถี่ และระยะ เวลา เมื่อเริ่มทำตามโปรแกรมที่วางไว้ จะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องจนครบ 1 ปี แล้วจะวัดผลดูว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ค่าบริการหรือค่าสมาชิกสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่ที่ประมาณปีละ 43,000 บาท สูงกว่าสมาชิกรายปีของศูนย์สุขภาพตามโรงแรมชั้นหนึ่งทั่วไปเล็กน้อย ส่วนคนที่เจ็บป่วยก็ต้องดูตาม อาการ ค่าบริการก็ต่างกันออกไป
การออกกำลังกายของ ChiroFit จะเน้นการสร้างความแข็งแรงของหัวใจและปอด การเสริมกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูเส้นเอ็นและข้อ การสร้างน้ำหนักมวลรวมของร่างกาย และการปรับโครงสร้างเพื่อให้กลับสู่สมดุล แต่ละคนจะมีโปรแกรมออกกำลังกายต่างกันออกไป
คนไข้แต่ละคนที่เข้ามาจะมีการออกแบบท่าการออกกำลังกาย ระยะเวลาในการออกกำลังกาย ความถี่ คนไข้ที่ปวดหลังเหมือนกัน ท่าการออกกำลังกายก็แตกต่างกัน
ผู้มาใช้บริการที่นี่มีอยู่ 2 แบบคือ คนทั่วไปที่ต้องการออกกำลังกาย เพื่อปรับโครงสร้าง ของร่างกาย ซึ่งยังเสียหายไม่มาก หรือต้องการป้องกัน กับคนป่วยที่ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ แต่ผู้ที่มาใช้บริการทั้ง 2 กลุ่มจะไม่ได้พบหน้าพบตา หรือต้องมาออกกำลังกายพร้อมกันโดยทาง ChoroFit จะมีแบ่งเวลาของคนทั้ง 2 กลุ่ม ให้เหลื่อมกัน
บรรยากาศของที่นี่ไม่เหมือนกับห้องกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล หรือกายภาพบำบัด ของเอกชน และก็ไม่เหมือน Fitness ห้องกระจกที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างห้องกายภาพบำบัดกับ Fitness
รุจน์บอกว่ากลุ่มลูกค้าของเขาคือคนที่รักษาสุขภาพและมีปัญหาเรื่องโครงสร้าง ชอบการออกกำลังกาย แต่ต้องการคำแนะนำ หรือที่ปรึกษาว่าการออกกำลังของเขาได้ประโยชน์แน่นอน
"กลุ่มลูกค้าที่ผมต้องการ อยากให้เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เพราะการผิดปกติของโครงสร้าง จะเริ่มต้นตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่น ด้วยเหตุนี้ผมพยายามเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นให้มากที่สุด โดยจะเริ่มเจาะไปตามโรงเรียนมัธยมทีละโรงเรียน ตรวจโครงสร้างนักเรียนให้เลย แล้วบอกว่าคุณมีปัญหาอะไร จะแก้ไขกับผมหรือไม่ก็ได้"
แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าในปัจจุบันอายุเริ่มต้นที่สามสิบห้าปีขึ้นไป เป็นคนสูงอายุ กลุ่มลูกค้าที่เขาต้องการกับลูกค้าที่เข้ามาช่วงอายุต่างกันมาก ทำให้เขาต้องเร่งทำความเข้าใจ และให้ความรู้ทั้งคนไข้และผู้ปกครอง เมื่อเข้าใจแล้วว่าปัญหาเกิดจากอะไร การดูแลรักษาป้องกันในช่วงอายุน้อยจะทำได้มากกว่าและง่ายกว่า
"ผมอยากให้การเข้ามารักษาอยู่ที่ 30% การป้องกันอยู่ที่ 70% ไม่ใช่เจ็บป่วย 90% ป้องกัน 10%"
อาการหลักที่ผู้ป่วยเข้ามารักษากว่า 80% คือ อาการปวดคอและปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการนั่ง การทำงาน การเดิน ซึ่งอาจจะผิดท่า ทำให้เกิดปัญหากับโครงสร้างได้
เขาขอเวลาอีก 2 ปี สร้างความรู้ ความเข้าใจ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติว่า ควรใช้การป้องกันมากกว่าการรักษา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั่นคือกลุ่มลูกค้าที่เขาต้องการตั้งแต่แรก เพราะเป็นฐานลูกค้าที่กว้างและสามารถใช้การรักษาด้วยการออกกำลัง ไม่ต้องใช้ยา ซึ่งเป็นไปตามความต้องการในการ เปิดบริการทางการแพทย์สาขานี้ตั้งแต่แรก
สิ่งที่เขาคาดหวังมากที่สุดก็คือ ต้อง การให้ทุกคนเข้าใจว่า ควรมีการตรวจโครง สร้างทุกปี เหมือนกับที่คนทั่วไปต้องไปพบทันตแพทย์ตรวจฟันปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อจะได้รักษาและป้องกันโครงสร้างร่างกายตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
|
|
|
|
|