"Let's not forget for whom we work?"
คติพจน์ของพ่อค้าชาวดัตช์ Albert Heijn ผู้ก่อตั้งกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของโลก-บริษัท
Royal Ahold NV ที่กล่าวเตือนสติไว้เมื่อ 116 ปีที่แล้วใช้ไม่ได้ผล เมื่อ
เกิดคดีอื้อฉาว กรณีบริษัทแจ้งตัวเลขบัญชีรายได้เกินจริง ไปถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่ปรากฏตั้งแต่ปี 2001-2002 ส่งผลให้ประธานกรรมการบริหารอย่าง Cees van
der Hoeven และ Michiel Meurs กรรมการบริหารที่รับผิดชอบทางการเงิน (CFO)
ต้องลาออกจากตำแหน่ง ไปในวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ปีนี้
ราคาหุ้น AHO ตกร่วงเหลือ 3.18 ยูโร/หุ้น (6 มี.ค.2003) จากที่เคยสูงสุด
30.29 ยูโร (3 เม.ย.2002) หุ้นของ AHO จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขณะที่
หุ้น Ahold เทรดในตลาดหุ้น Amsterdam ในเนเธอร์ แลนด์ และที่ Zurich ในสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
เมื่อปลายปีที่แล้ว Cees van der Hoeven เคย ยืนยันหนักแน่นว่า "This is
what some commentator forget : we are a real company, made up of real
people working real hard everyday to service real customers in order to
make real money for shareholder. Customer satisfaction, as I have said
before, is our only reason for being in business, and we will never forget
that." แต่ไม่ทันไร เขาก็ลืมเสียแล้วว่าใครคือใครในยามวิกฤติ
เป็นที่รับรู้กันว่า Royal Ahold บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอันดับ 3 ของโลกเติบโตเร็วมากขยายซูเปอร์
มาร์เก็ตกว่า 8,500 สาขาทั่วโลกในระยะ 10 ปี ที่ Cees van der Hoeven บริหารด้วยยุทธศาสตร์รุกซื้อกิจการ
กว่า 50 บริษัท ก่อหนี้เมื่อปีที่แล้วถึง 12.3 พันล้านยูโร ที่ต่างจากยักษ์ใหญ่วอล
มาร์ต และคาร์ฟูร์ โดยเฉพาะตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ Ahold เป็นเจ้าของกิจการ Stop-Shop,
Giant-Landover, Giant-Carlisle, Tops, BI-LO, Bruno's บริหารซูเปอร์สโตร์กว่า
1,600 สาขา ที่ทำรายได้ปีที่แล้ว กว่า 60% ของยอดขายทั่วโลกหรือประมาณ 43.67
พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2002
ที่สำคัญในปี 2000 Ahold ซื้อธุรกิจ U.S.Food service บริษัทลอจิสติก ยักษ์ใหญ่บริการจัดส่งที่โตเร็วมากทำรายได้ถึง
19 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการบริหารของ James L.Miller ที่ทำงานเข้าตาจนได้เป็นกรรมการ
Royal Ahold ด้วย แต่สองปีที่บริษัท U.S. Foodservice ได้หมกเม็ดตกแต่งบัญชีที่น่าสงสัยที่มา "promotional allowances" เกินจริงไป 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนที่ภาคพื้นประเทศยุโรป Ahold มีสาขาถึง 6,500 แห่ง ครอบคลุม 13 ประเทศโดยเฉพาะทางยุโรป
ตอนเหนือ Ahold ได้ร่วมลงทุน 50/50 กับกลุ่ม ICA ปีที่แล้ว ยอดขายประมาณ
23.20 พันล้านยูโร หรือประมาณ 30% ของยอดขายทั่วโลก
ในเอเชีย Ahold มีโอกาสลงทุนขยายธุรกิจช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทย,
มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในนาม Tops Supermarket ที่กระจายไปทั่ว 112 สาขา
ทำยอดขาย 456.5 ล้านยูโร
ขณะที่ซูเปอร์สโตร์ในประเทศละตินอเมริกา มีประมาณ 600 สาขา ทำยอดขาย 2.75
พันล้านยูโร โดย 236 สาขาของ Disco Supermarket ในชิลี เปรู และปารากวัย
ทำยอดขายมากที่สุดอย่างน่าสงสัยถึง 2.1 พัน ล้านยูโร ภายใต้พันธสัญญาที่
Ahold จำต้องควักจ่าย 492 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นธุรกิจ Velox Retail Holdings
(VRH) ของตระกูล Peirano ที่เป็นเจ้าของDisco และแบงก์ Banco Montevideo
ในอุรุกวัย ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ดังนั้นแทนที่เงินจะเข้า VRH
กลับเข้าแบงก์แทน
โดยประวัติ Cees van der Hoeven เป็นชาวดัตช์ที่เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยGroningen
เริ่มทำงานกับบริษัทเชลล์ เคยไปประจำที่อังกฤษ และประเทศโอมาน ทำอยู่ 15
ปี ก็ลาออกเป็น Financial Director ของบริษัท de NAM ระหว่างปี 1980-1984
ก่อนย้ายมาอยู่กับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ อย่าง Royal Ahold ในปี 1985 ในตำแหน่ง
EVP/Finance & Administration และได้เป็น President และCEO ตั้งแต่ปี
1993 เคยเป็นกรรมการที่ปรึกษาบอร์ดของ แบงก์ ABN AMRO, บริษัท Royal Dutch
Telecom และ Louis Vuitton
ยุทธวิธีแตกแล้วโตของ Ahold ที่ทำในช่วงปี 1998 ให้ผลกำไรงดงามเพิ่มขึ้น
28% จนทำให้คู่แข่งต้องเริ่มทำตาม เช่นกันในปีนั้น คาร์ฟูร์ซื้อซูเปอร์มาร์เก็ต
เชน Copmtoirs Modernes และวอล มาร์ตซื้อเชนของ เยอรมนีชื่อ Wertkauf ตามมา
แต่ทั้งสองยักษ์ใหญ่ต่างใช้แบรนด์เนมตัวเองครอบธุรกิจที่ซื้อมาต่างจาก Ahold
ที่ยังคงใช้ชื่อตามท้องถิ่นนิยม
แต่หลังเหตุการณ์ 9/11 ในสหรัฐฯ ปรากฏการณ์ ล่มสลายของยักษ์ใหญ่ธุรกิจเกิดขึ้นเด่นชัด
จากกรณีตกแต่งบัญชีตบตานักลงทุนใน ENRON และ World Com จนมาถึงกรณี AHO ที่นักลงทุนถึงกับผวาว่า "Is Ahold Dutch for Enron or Kmart?" และสงสัยถึงมาตรฐานการตรวจสอบบัญชีของบริษัท
Deloitte & Touche โดยเฉพาะกรณีที่ปรากฏว่า กำไรสำหรับปี 2001 ที่ปรากฏจำนวน
120 ล้านยูโร ภายใต้กฎระเบียบการตรวจสอบบัญชีในระบบอเมริกัน แตกต่างอย่างมากกับระบบตรวจสอบแบบดัตช์
ที่แสดงผลปรากฏตัวเลขพุ่งสูงถึง 1,000 ล้านยูโร
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในวิธีการตีความรายการในบัญชี ระหว่างผู้กำกับตรวจสอบในระบบอเมริกันกับระบบยุโรป
ที่ขัดแย้งและแตกต่างกันมหาศาลในการตีความการกระทำใดเข้าข่าย "ฉ้อโกง" โดยเฉพาะในสหรัฐฯ
กฎหมายฉบับใหม่ Sarbanes-Oxley ที่ว่าด้วยธรรมาภิบาล บังคับให้ผู้บริหารระดับสูงต้องลงนามสัตยาบันรับรองบัญชี
หากผู้ใดกระทำผิดต้องโทษอาญาร้ายแรงทีเดียว แต่ของดัตช์กลับมองว่านี่คือเรื่องภายในบริษัท "an internal business matter"
นี่คือแนวคิดการสอบบัญชีแบบยุโรปที่ยึดหลักprinciple-based" ที่รักษาหน้ามากกว่าระบบอเมริกันที่ยึดหลัก "rules-based"
ท่ามกลางมรสุมใหญ่ที่ซัดกระหน่ำ Royal Ahold ในภาวะที่ไร้ผู้นำ และการจัดการปัญหา
ภาระหนี้สินก้อนใหญ่มหาศาล ความหวังเดียวคือเงินกู้อัดฉีดพยุงฐานะกิจการจาก
5 สถาบันการเงิน ABN AMRO, Goldman Sachs, ING, J.P.Morgan Chase และ Robobank
ที่ตกลงปล่อยกู้ประมาณ 3.1 พันล้านยูโรหรือ 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
Standard & Poor's ได้ downgrade พันธบัตรเงินกู้ของ Ahold อยู่ในสถานะ "Junk" !
ในอนาคต หากแก้ไขไม่ได้ วิกฤติของ Ahold จะกลายเป็นโอกาสของคู่แข่งที่จ้องเทกโอเวอร์ธุรกิจ
เช่น วอลมาร์ตสนใจซื้อธุรกิจ logistic และ online retailer ในสหรัฐฯ หรือ
Tesco ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ อาจสนใจธุรกิจในเอเชียและยุโรป ขณะที่ Daniel Bernard
ประธานบริหารของคาร์ฟูร์ กล่าวว่า
"We are not candidates to acquire Ahold, but if portions of the company
were up for sale, we would look at them with our investment criteria in
mind."
บทเรียนอันเจ็บปวดของ Cees van der Hoeven ที่บริหาร Royal Ahold แบบใหญ่เกินจริง
อาจทำให้อนาคตของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอายุนับร้อยกว่าปีแห่งนี้ต้องแปรเปลี่ยนอย่างคาดไม่ถึง!