|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2550
|
|
"ตอนที่ผมเริ่มทำงาน ผมรู้สึกไม่อยากจะเรียนรู้จากใคร เพราะเชื่อว่าตัวเองได้เรียนรู้ทุกอย่างมาแล้วจากการเป็นลูกของพ่อ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมว่าช่วงเวลาที่ผมเรียนรู้การทำงานจากพ่ออย่างจริงจัง เริ่มต้นเมื่อ 6-7 ปีที่ผมเริ่มกลับมาทำงานที่ไมเนอร์นี่เอง" ลูกชายคนเล็กของไฮเนคกี้กล่าว
จอห์น สก็อต ไฮเนคกี้ ในวัย 36 ปี เขาเกิดหลังจากพ่อของเขาเริ่มก่อสร้างอาณาจักรไมเนอร์เพียง 1 ปี ส่วนเดวิด ลูกชายคนโตของไฮเนคกี้ เขาเลือกที่จะสร้างธุรกิจของตนเองในอเมริกา
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ตามสไตล์ชาวอเมริกันไม่ผิดพ่อนัก แต่ทว่าจอห์นดูจะมีกิริยาอ่อนน้อมนุ่มนวลแบบคนไทยมากกว่า และสื่อสารด้วยภาษาไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมานาน
ขณะที่ไฮเนคกี้ยังคงไม่ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยเช่นเดียวกับเมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่ "ผู้จัดการ" เคยไปสัมภาษณ์เขา
จอห์นชอบกีฬาผาดโผนเหมือนพ่อของเขา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไฮเนคกี้มักพาลูกๆ ของเขาไปเล่นกีฬาโปรดกับเขาด้วยตั้งแต่ลูกยังเล็ก แต่กีฬาที่จอห์นดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษก็คือการแข่งรถ
ไฮเนคกี้มักบอกว่าเขามีความสุขกับงานที่ทำ เพราะเขาชอบทานพิซซ่า โดนัท และฮอทด็อก ส่วนจอห์นเองเขาก็ดูจะมีความสุขกับงานที่ทำ เพราะความชอบทานอาหารของเขาเหมือนกัน
ผลงานชิ้นโบแดงที่จอห์นรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำให้กับกลุ่มไมเนอร์เมื่อหลายปีก่อน นั่นก็คือ การปรับจุดยืนให้แก่แบรนด์ "เบอร์เกอร์ คิง" ให้สูงกว่าแบรนด์ของคู่แข่ง ทำให้ขายเบอร์เกอร์ให้กลุ่มตลาดนิชได้ในราคาแพงกว่าและกำไรมากกว่า
ในช่วงเวลานั้น จอห์นยังทำให้เบอร์เกอร์ คิง ประเทศไทย ได้รับรางวัลจากบริษัทแม่ของเบอร์เกอร์คิง 2 รางวัล 2 ปีติดกัน เขาถือว่านี่เป็นการสะท้อนถึงมาตรฐานการดำเนินงานระดับสากลของเครือไมเนอร์
3 เดือนที่ผ่านมา จอห์นเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง GM ดูแลแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ โดยสิ่งแรกที่เขาทำก็คือ ขี่มอเตอร์ไซค์แข่งยี่ห้อ BMW รุ่น K100RS และรุ่น R100GS ไปตรวจร้านซิซซ์เล่อร์ทุกสาขาในเมืองไทย และขี่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่
"เป็นความจำเป็นที่ผมจะต้องไปทุกๆ ร้าน เพื่อไปเจอผู้จัดการทุกคน และไปถามพวกเขาว่า เราจะสนับสนุนเขาได้ยังไง เพื่อให้เขาบริการลูกค้าได้ดีที่สุด"
ถ้าเห็นฝรั่งร่างใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ สวมหมวกกันน็อกเข้าไปนั่งทานซิซซ์เล่อร์ในร้าน และรถที่เขาขี่เป็นมอเตอร์ไซค์แข่งคันงาม ก็แน่ใจได้ว่านั่นคือ GM คนนี้
นี่เป็นวิธีที่จอห์นประยุกต์เอางานอดิเรกและ passion มาใช้ในการทำงาน ขณะที่ไฮเนคกี้เองก็เคยขี่มอเตอร์ไซค์คันงามในกรุงเทพฯ เพื่อเปิดตัวแบรนด์ "เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" มาแล้วเหมือนกัน
"ที่ผ่านมาผมเห็นพ่อแค่ในมุมส่วนตัว ถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือที่พ่อเขียนหรือไปฟังสัมมนาที่พ่อไปเป็นวิทยากรหรือฟังท่านพูดในห้องประชุม บอกตามตรงว่า ผมคงไม่รู้จัก "ไฮเนคกี้" ตัวจริง ยิ่งพอได้เห็นความเป็นนักบริหารของพ่อ ผมก็เห็นท่านเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะในเรื่องวิสัยทัศน์ที่พ่อมักจะมองเห็นโอกาสขณะที่คนอื่นยังมองไม่เห็น และทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้" จอห์นออกตัวว่าชื่นชมพ่อในฐานะพนักงานของไมเนอร์
ถ้าเป็นคนนอกครอบครัวไฮเนคกี้ จอห์นเชื่อว่า เขาคงไม่รู้เลยว่ามีความซับซ้อนและรายละเอียดมากมายกว่าที่พ่อจะได้มาซึ่งความสำเร็จนี้
ไม่เพียงการทำงาน จอห์นยังได้รับอิทธิพลจากพ่อของเขาเองในเรื่องของความเป็นพ่อ
"คุณต้องสนุกกับสิ่งที่ทำ คุณจึงจะมี passion ให้กับสิ่งนั้น แล้วมันจะออกมาดีที่สุด แต่ถ้าไม่มี passion ก็อย่าไปเสียเวลา"
เหมือนกับที่ไฮเนคกี้คิดและสอนเขา จอห์นก็วางแผนที่จะสอนลูกชายวัย 6 ขวบ และลูกสาววัย 3 ขวบของเขาเช่นนี้เหมือนกัน
ด้วยความคาดหวังที่หลายคนมักฝากไว้กับเขายามที่พูดถึงอนาคตของไมเนอร์ในวันที่ไม่มีไฮเนคกี้ นัยหนึ่งก็สร้างความภูมิใจ แต่อีกนัยก็คือความหนักใจ
"ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขึ้นมาแทนพ่อ มันคงจะเป็นงานยากมากสำหรับใครก็ตามที่จะขึ้นมาแทนที่เขา เพราะถ้าดูสิ่งที่เขาทำ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงคนๆ เดียวที่จะมาดูแลไมเนอร์ทั้งหมด ผมคิดว่านี่ก็คงเป็นเหตุผลที่พ่อพยายามหาคนที่มีความสามารถมากๆ มาช่วยเขา"
จอห์นสรุปว่า เขาอยากเป็นแค่หนึ่งในทีมผู้บริหารที่จะมาช่วยขับเคลื่อนไมเนอร์ให้ก้าวไปข้างหน้า
|
|
|
|
|