ตลอดศตวรรษที่แล้วทั้งสถาปนิก และนักออกแบบต่างพากันติดข้องอยู่ในใจว่า
ทำไมอุตสาหกรรมสร้างบ้านจึงไม่สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่
แบบเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์หรือผลิตเครื่องบิน.... นิตยสาร Metropolis ฉบับเดือนธันวาคม
เกริ่นนำแล้วร้อยเรียงเรื่องราวต่อไปว่า ทั้งอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และเครื่องบินต่างอยู่ตรงจุดสูงสุดของยุคเครื่องจักร
มีระบบวิศวกรรมโดยละเอียด (precision-engineering) ครบครันอยู่ในโรงงานพร้อมวัสดุและเทคโนโลยี
ทันสมัยล่าสุด โดยเฉพาะการเน้นเรื่องรูปทรงเพรียวลมแบบ aerodynamic นั้น
ล้วนเป็นไปตามความต้องการใช้งานทั้งสิ้น
แต่ในส่วนของอุตสาหกรรมสร้างบ้านกลับตรงกันข้าม เพราะต้องก่อสร้างและประกอบตัวบ้านอย่างเหนื่อยยาก
ณ จุดที่สร้าง ทำให้นักออกแบบ สถาปนิก และรัฐบาล ต้องทุ่มเทเวลา และงบมหาศาลสำหรับความพยายามในการบีบให้อุตสาหกรรมก่อสร้างหันมาใช้วิธีสร้างบ้านเป็นส่วนๆ
แล้วนำไปประกอบทีหลัง (prefab)
และเมื่อ 3 ปีที่แล้ว Kent Larson สถาปนิกแห่ง Massachusetts Institute
of Technology (MIT) ได้ใช้ความพยายามทุ่มเทคิดค้นระบบการสร้างบ้านแห่งอนาคต
ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสร้างบ้านอย่างแท้จริง และตลอดไป โดยบ้านอัจฉริยะ
(smart home) แห่งศตวรรษที่ 21 ของ Larson จะถูกกำหนดโดยความต้องการของ ผู้อยู่อาศัยโดยแท้จริง "มันเป็นเรื่องของการคิดค้นวิธีการสร้างบ้านที่สามารถปรับให้เข้ากับภูมิอากาศและผู้คนที่แตกต่างกันได้
สิ่งที่เรากำลังผลักดันก็คือ บ้านที่สร้างด้วยกระบวนการที่สามารถปรับตามความต้องการทีละมากๆ
ได้ (mass-customization process)"
ในสมุดปกขาวที่ MIT ตีพิมพ์ในเดือนกันยายนปีที่แล้วคือ A New Epoch พูดถึง
mass-customization process ว่า "เป็นการแผ้วถางทางให้บริษัทก่อสร้างหน้าใหม่ๆ
มีโอกาสเข้าสู่ตลาดก่อสร้างมูลค่า 8.52 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีได้"
MIT จึงได้ตั้งชื่อโครงการบ้านแห่งอนาคตนี้ว่า House-n โดยตัว "n" เป็นตัวอักษร
สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของคำว่า variable นั่นเอง
หนึ่งในตัวเร่งโครงการนี้ก็คือ การสร้างบ้านอัจฉริยะที่ติดตั้งเครือข่าย
sensing networks ซึ่งจะช่วยบรรเทาวิกฤติการณ์ของระบบ health-care system
ในอเมริกาที่กำลังส่อแววว่า ต้องรับภาระหนักเกินไป เพราะอีก 30 ปีหรือกว่านั้น
สหรัฐอเมริกาจะมีประชากรสูงอายุเพิ่มเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นภาระอันหนักอึ้งเกินไปของระบบ
health-care
คำตอบของ MIT สำหรับปัญหานี้ก็คือ การยกระดับให้บ้านมีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อ
ให้สามารถรองรับความต้องการของประชากรสูงอายุได้ โดยบ้านต้นแบบที่สร้างขึ้นจะมีระบบติดตาม
(monitoring system) ที่สามารถติดตามกิจกรรมของผู้อยู่อาศัยได้ เช่น การส่งสัญญาณเตือนในกรณีที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจล้มเหลว
หรือการเตือนให้รับประทานยา เป็นต้น
หากเปรียบเทียบกับการผลิตรถยนต์ หัวใจของ House-n ก็คือ chassis ที่มีอุปกรณ์
sensing ราคาถูกติดตั้งอยู่เต็ม อาทิ LEDS, ลำโพง, จอ display, ระบบไฟอัตโนมัติ,
เครื่อง heat sensor และกล้องถ่ายรูปขนาดมินิที่สามารถเสียบปลั๊กใช้งานได้ทุกเมื่อ
ปัญหาตามมาก็คือ ถ้าโครงการ House-n สามารถหลุดจากโครงการทดลองมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อลูกค้าสามารถออกแบบ บ้านของตัวเองได้ แล้วสถาปนิกจะมีงานทำหรือ?
สมุดปกขาว A New Epoch ให้คำตอบว่า ในที่สุดแล้ว mass-cutomization จะทำให้สถาปนิกมีบทบาทสำคัญในการออกแบบบ้านสำหรับตลาดระดับล่าง
(mass market) จากการที่สถาปนิกใช้ระบบออกแบบ Web-based ซึ่งสถาปนิกสามารถเข้าไป
มีบทบาทตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มแรกของการสร้างระบบออกแบบที่ลูกค้ารายได้ต่ำสามารถกำหนด
และพัฒนาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของตนเองได้