Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 เมษายน 2550
หนี้เน่าแบงก์เดือนมี.ค.พุ่ง3พันล้าน เผย"กรุงไทย"กระอักยอดเพิ่มสูงสุด             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
Banking and Finance




ธปท.เผยยอดคงค้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมี.ค.50 เพียงเดือนเดียวยอดเอ็นพีแอลพุ่งกว่า 3,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากหนี้ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ไทยเป็นสำคัญ โดยแบงก์กรุงไทย-กรุงศรีฯ-กรุงเทพ ติดอันดับท็อปเท็นหนี้สูงสุดในระบบสถาบันการเงินไทย ส่วนนครหลวงไทยมียอดหนี้ลดลงมากที่สุดเกือบ 3,000 ล้านบาท

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.ได้ประกาศยอดคงค้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของสถาบันการเงินในระบบล่าสุด ณ สิ้นเดือนมี.ค.2550 พบว่า เอ็นพีแอลจำนวนทั้งสิ้น 239,918 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.19%ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3,371 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.42% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในระบบสถาบันการเงินมีเพียงเอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์ไทยเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งภายในเดือนเดียวยอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นถึง 6,828 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3%ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างอยู่ที่ 234,798 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.58%ของสินเชื่อรวม

ขณะที่สถาบันการเงินในระบบเศรษฐกิจอื่นๆ ต่างมียอดเอ็นพีแอลลดลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยสาขาธนาคารต่างประเทศมียอดคงค้างเอ็นพีแอลลดลงถึง 2,957 ล้านบาท หรือลดลงถึง 49.84%ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มีเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 2,975 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.52%ของสินเชื่อรวม บริษัทเงินทุนมีเอ็นพีแอลลดลง 480 ล้านบาท หรือลดลง 18.09%ของสินเชื่อรวม จากยอดล่าสุดมีจำนวน 1,850 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.18%ของสินเชื่อรวม และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์มีเอ็นพีแอลลดลง 91 ล้านบาท หรือลดลง 23.64%ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างจำนวน 296 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55.89% ของสินเชื่อรวม

ทั้งนี้ หากพิจารณายอดเอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์ไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 6,828 ล้านบาท เกิดจากธนาคารพาณิชย์จำนวน 11 แห่ง จากธนาคารพาณิชย์ไทยในระบบที่มีจำนวนทั้งสิ้น 17 แห่ง โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนธนาคารกรุงไทยมียอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ถึง 5,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.81%ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอลจำนวน 64,241 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.88% รองลงมาเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยาเพิ่มขึ้น 2,581 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.14% จากยอดคงค้างที่มีอยู่ในปัจจุบัน 28,044 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.30% และธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้น 2,373 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.23% จากยอดคงค้างที่มีอยู่ 40,489 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.41%ของสินเชื่อรวม

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 1,112 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.32% จากยอดคงค้างของเอ็นพีแอล ณ สิ้นเดือนมี.ค.ที่มีจำนวน 21,998 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.31% ธนาคารไทยธนาคารเพิ่มขึ้น 863 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49.23% จากยอดคงค้างที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2,616 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.53% ธนาคารไทยพาณิชย์เพิ่มขึ้น 748 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.30% จากยอดคงค้างเอ็นพีแอลที่มีอยู่ 23,428 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.42% ธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.97% จากยอดเอ็นพีแอลที่มีอยู่ล่าสุด 1,732 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.84%ของสินเชื่อรวม

ส่วนธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.33% ซึ่งในเดือนมี.ค.มียอดคงค้างอยู่ที่ 678 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.84% ธนาคารทิสโก้เพิ่มขึ้น 53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.37% จากยอดคงค้างเอ็นพีแอลปัจจุบัน 1,267 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.73% ธนาคารเมกะสากลพาณิชย์เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.06% จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอล 138 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.43% ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อยมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 800% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอล 27 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.07%ของสินเชื่อรวม

ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อยได้ยกระดับจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์(บค.)ไทยเคหะ ซึ่งได้คืนใบอนุญาตดังกล่าวและยกระดับสถานะมาประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยแทนตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(มาสเตอร์แพลน) ฉบับที่ 1 เพื่อพัฒนาให้สถาบันการเงินมีความแข็งแกร่งและพร้อมรับกับการแข่งขันในอนาคต ดังนั้นจึงมีการโอนสินทรัพย์และหนี้สินของบค.ไทยเคหะมาที่ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อยแทน

ขณะเดียวกันในเดือนมี.ค.2550 ยังมีธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 6 แห่งที่มีเอ็นพีแอลลดลง โดยธนาคารนครหลวงไทยมีเอ็นพีแอลลดลงมากที่สุดในระบบสถาบันการเงินไทยถึง 2,840 ล้านบาท หรือลดลง 32.31% จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 5,949 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.40% รองลงมาธนาคารทหารไทยลดลง 2,389 ล้านบาท หรือลดลง 7.18% จากยอดคงค้างที่มีอยู่ล่าสุด 30,890 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.08% และธนาคารยูโอบีลดลง 899 ล้านบาท หรือลดลง 11.89% ซึ่งจากล่าสุดที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 6,660 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.36%ของสินเชื่อรวม

นอกจากนี้ในเดือนนี้ธนาคารสินเอเชียมีเอ็นพีแอลลดลงลด 187 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.88% จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างทั้งสิ้น 1,387 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.57% ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อยมีเอ็นพีแอลลดลง 7 ล้านบาท หรือลดลง 2.25% จากล่าสุดที่มียอดคงค้างทั้งสิ้น 304 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.70% และธนาคารเกียรตินาคินลดลง 3 ล้านบาท หรือลดลง 0.06% จากปัจจุบันที่มียอดคงค้างเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 4,951 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.47%ของสินเชื่อรวม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่การเมืองยังไม่มีความไม่แน่นอนมีผลกดดันให้ภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และส่งผ่านมายังลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ทั้งที่เป็นประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจในระบบด้วย ทำให้การจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนต่างๆ ต้องชะงักไปตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ไทยมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายใหม่ ดังนั้น แม้ภาครัฐจะมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผ่านมายังระบบเศรษฐกิจมากนัก โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่ลูกค้ารายเก่าที่ยังคงแบกรับภาระการผ่อนชำระตามสัญญาเงื่อนไขเดิมอยู่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us