Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 เมษายน 2550
SSIฉวยจังหวะราคาเหล็กแผ่นฯพุ่งเร่งส่งออกเพิ่มหนุนรายได้ปีนี้โต20%             
 


   
www resources

โฮมเพจ สหวิริยาสตีลอินดัสตรี

   
search resources

สหวิริยาสตีลอินดัสทรี, บมจ.
Metal and Steel
วิน วิริยะประไพกิจ




SSI ลั่นปีนี้ยอดขายโตกว่า 20% จากปีก่อนที่ยอดขาย 3.52 หมื่นล้านบาท เนื่องจากตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนไว้ 2.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% รวมทั้งราคาเหล็กแผ่นฯในตลาดโลกพุ่งไม่หยุด ล่าสุดดีดขึ้นไปอยู่ที่ 600-650 เหรียญสหรัฐต่อตัน ชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศลดลง ตั้งเป้าปีนี้ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 25%ของยอดขาย

นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%จากปีก่อนที่ยอดขาย 3.52 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน 2.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 20%จากปีก่อนที่เดินเครื่องผลิตเกือบปีละ 2 ล้านตัน รวมทั้งราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

โดยไตรมาสแรกปีนี้ ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 500-550 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีที่แล้วที่มีราคาเฉลี่ยเพียงตันละ 400-450 เหรียญสหรัฐ และไตรมาส 2 นี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ขยับเพิ่มขึ้นมาอีก 100 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ตันละ 600-650 เหรียญสหรัฐ คาดว่าทั้งปีราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะทรงตัวในระดับสูงกว่าปีที่แล้ว สืบเนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในตลาดโลกยังมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องหลายปีแล้วทั้งสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก อเมริกาใต้ รวมทั้งจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลกด้วย

สวนทางกับความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน สืบเนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และยังไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังทำให้ยอดการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับตัวโดยหันมาผลิตเหล็กคุณภาพพิเศษ โดยมุ่งเจาะตลาดที่มีความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯอย่างสม่ำเสมอ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะส่งออกเหล็กแผ่นคุณภาพพิเศษไม่น้อยกว่า 25%ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดการส่งออกประมาณ 23%ของยอดขาย โดยไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯส่งออกเหล็กแผ่นฯได้ตามเป้าหมาย

โดยตลาดส่งออกหลัก คือสหรัฐฯ อาเซียน ยุโรปตะวันออก และประเทศแถบตะวันออกกลาง รวมทั้งจะแสวงหาตลาดใหม่ๆ เช่น อินเดีย แอฟริกา เป็นต้น ขณะที่การส่งออกไปจีนลดลง เพราะตลาดอื่นได้ราคาดีกว่า

" เนื่องจากกำลังการผลิตเหล็กในตลาดโลกค่อนข้างตึงตัว ทำให้ราคาเหล็กแผ่นฯปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นฯส่งออกไปต่างประเทศอยู่สูงกว่าขายในประเทศประมาณ 5-10% แม้ว่าความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯในประเทศจะลดลงบ้าง แต่เราส่งออกได้ราคาดี เชื่อว่าทั้งปีจะมีผลกำไรระดับน่าพอใจ"

จากภาวะตลาดเหล็กที่ค่อนข้างตึงตัวในตลาดโลก ทำให้ราคาสแลปซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทฯมีกำไรจากสินค้าคงคลัง อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัทฯจะบริหารสินค้าคงคลังให้เหลือน้อยเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยมีสินค้าคงคลัง(วัตถุดิบ)ไม่น้อยกว่า 3 เดือน สินค้าสำเร็จรูป 1-2 เดือน และมีการขายสินค้าล่วงหน้าไปแล้ว 2 เดือน

นายวิน กล่าวถึงกรณีที่SSIจะซื้อหุ้นบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด(มหาชน) จากเดิมที่ถืออยู่ 8.77%เป็น 40.14% คิดเป็นวงเงิน 3.5 พันล้านบาทว่า การตัดสินใจซื้อหุ้นบริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จะทำให้บริษัทเข้าสู่ตลาดเหล็กแผ่นคุณภาพสูง ซึ่งเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยดำเนินธุรกิจมานาน 10ปี ทำให้มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ทางธุรกิจค่อนข้างมาก

ส่วนการนำบริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น เป็นเรื่องที่จะพิจารณาต่อไปในอนาคต สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นดังกล่าวจะมาจากการกู้ยืมธนาคารพาณิชย์ทั้งจำนวน ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนของSSIเพิ่มขึ้นจาก 1.1 เท่าเป็น 1.24 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งอยู่

นายวิน กล่าวถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบต้องนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็น 80% เมื่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง แต่บริษัทฯมีการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศบางส่วน ทำให้รายได้ในรูปเงินบาทก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน รวมทั้ง บริษัทฯได้มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) นั้น นายวิน กล่าวว่า ในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท แม้ว่าจะมีรายการสินค้าเหล็กเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่กรอบระยะเวลาในการปรับลดภาษีนาน 10ปี โดยช่วง 1-8 ปีแรกไม่ต้องปรับลดภาษีนำเข้า พอเข้าสู่ปีที่ 9 จึงค่อยปรับลดลง 50% และปีที่ 10 ลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทำให้สหวิริยาสตีลฯมีเวลาในการพัฒนาสินค้า และหาตลาดส่งออกเพิ่มเพื่อสร้างความมั่นคงด้านยอดขาย

นายวิน กล่าวถึงโครงการโรงถลุงเหล็กครบวงจรขนาด 30ล้านตัน มูลค่า 5แสนล้านบาทของเครือสหวิริยาว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของบีโอไอ หลังจากบริษัทได้ขอบีโอไอพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์เป็นแบบคลัสเตอร์ โดยให้สิทธิประโยชน์โครงการท่าเรือน้ำลึกให้เท่ากับโครงการโรงถลุงเหล็ก คือ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8ปีและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลง 50%เป็นเวลา 5ปีโดยไม่จำกัดวงเงิน

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยื่นขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนใหม่อีกครั้ง หลังจากบัตรส่งเสริมเดิมหมดอายุลง เพราะต้องการให้บีโอไอพิจารณาเห็นชอบในเรื่องดังกล่าว

ด้านผลการดำเนินงานSSIประจำปี 2549 บริษัทมีรายได้รวม 3.59 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.64 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 2.69 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1.54 พันล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us