บ้านหลังใหญ่ สูง 7 ชั้น ในพื้นที่ 200 ตารางวา ในซอยอารีย์สัมพันธ์แห่งนั้นใหญ่โตและหรูหรา
เหมือนบ้านบุคคลที่ฐานะดีคนอื่นๆ ทั่วไปในเมืองไทย เพียงแต่ความไม่ธรรมดาอยู่ที่ว่าเมื่อประมาณ
18 ปี่ที่แล้ว เจ้าของบ้านหลังนี้เคยท้อแท้กับชีวิตจนแทบจะปิดฉากชีวิตตัวเอง
อาศัยแรงฮึด ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง และครั้งนี้ชัยชนะก็เป็นของเขา
จากที่อยู่บนชั้น 4 ของอาคารมงคลฟิล์ม ปากซอยราชครู ครอบครัวนี้ย้ายเข้าบ้านหลังใหญ่ราคาไม่ต่ำกว่า
60 ล้านบาทนี้เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2545 ที่ผ่านมา บ้านหลังนี้คือรางวัลชีวิตชิ้นสำคัญ
นอกเหนือจากทรัพย์สินอื่นๆ ที่กำลังต่อยอดรายได้
สมศักดิ์ และเตือนใจ ภรรยา มีลูกชาย 1 ลูกสาว 3 ทุกคนทำงานอยู่ในบริษัทสหมงคลฟิล์ม
นอกจากลูกชายที่กำลังทำปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ที่มีกำหนดกลับปีหน้า
เพื่อมารับตำแหน่งที่เขาเตรียมไว้ให้แล้ว ทุกอย่างที่เป็นอนาคตของลูกๆ ถูกวางแผนไว้เรียบร้อย...งดงาม
ส่วนตัวเขาเองนั้นเริ่มชีวิตการทำงานตั้งแต่ย่างเข้าวัยรุ่น ขณะที่เรียนหนังสือชั้น
ม.6 ที่โรงเรียนไพศาลศิลป์ โดยการเป็นเด็กขายตั๋วหน้าโรงหนัง "นิยมไทย" ที่เวิ้งนาครเขษม
ก่อนที่จะถูกลูกชายเจ้าของโรงชวนเข้าไปเป็นผู้จัดการโรงหนังในเวลาต่อมา และได้เป็นเจ้าของโรงหนังศรีนครธนฯ
ย่านตลาดพลู เป็นแห่งแรก โรงหนังมงคลรามา ที่สะพานควาย เป็นแห่งที่ 2 พร้อมๆ
กับเริ่มทำธุรกิจรับจำหน่ายหนังให้กับ 8 จังหวัด
ประมาณปี 2511 ตั้งบริษัทสหมงคลฟิล์ม เพื่อทำภาพยนตร์เอง และทำโรงหนังชั้นหนึ่ง
เช่น เพรสสิเด้นท์ สเตลล่า สตาร์ ออสการ์
โรงภาพยนตร์ Stand Alone เริ่มมีปัญหา พร้อมๆ กับการเติบโตของตลาดวิดีโอ
ในขณะที่ตลาดหนังไทยในช่วงซบเซา
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 41-42 ปี ลำบากมาก เกือบจะล้มละลาย เป็นหนี้แบงก์พันกว่าล้าน
ลูกๆ ยังเล็ก ผมจะฆ่าตัวตายให้ได้ ขับรถไปเรื่อยทางดอนเมืองคิดในใจว่า ตายเสียคน
ลูกเมียจะได้ไม่เดือดร้อน เพราะผมกู้เงินด้วยชื่อผม คิดเสียใจอยู่นิดเดียวว่าเกิดมาไม่เคยโกงใคร
แล้วทำไมต้องลำบากอย่างนี้ ผมเป็นคนไม่ดี เป็นคนโกง เล่นการพนัน ก็ว่าไปอย่าง
ก็เลยฮึดขึ้น เอาวะสู้อีกที
สมศักดิ์เจรจาพักชำระหนี้กับสถาบันการเงินประมาณ 6-7 ปี ระหว่างนั้นก็บินไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ฮ่องกง
ซึ่งเพื่อนให้หนังมาจัดจำหน่ายตามโรงหนังชั้นสอง เรื่องแรกคือ คิงคอง ปรากฏว่าทำเงินได้ดี
โชคดีตอนนั้นหนังดังๆ เช่น "โหด เลว ดี" หนังฝรั่งของอาร์โนลด์ รวมทั้งเรื่อง "แรมโบ้" ล้วนแต่ขายได้กำไรทั้งนั้นก็เลยสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง
จนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ในวัย 60 ปี เขากลายเป็นคนที่มีอิทธิพลคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ไทย
เป็นผู้อำนวยการสร้างค่ายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุด และยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาพันธ์ภาพยนตร์ไทยอีกด้วย
ชีวิตในการทำงานแต่ละวันเริ่มเมื่อบ่าย 2 โมง ทำเรื่อยไปจนตกดึก ก็จะนัดผู้กำกับ
คนทำหนัง ในแวดวงต่างๆ มาคุย ทุกคนรู้ว่าเวลาคุยกับเขา ไม่ชอบให้ซีเรียส
เขาบอกว่าความคิดมันจะเกิดจากการที่ได้พูดคุยสนุกๆ จนกระทั่งตี 5 เข้าบ้านนอน
ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบบ่ายโมง
บ้านหลังใหญ่ 7 ชั้นที่มีคนอยู่เพียง 8-9 คนหลังนี้ จึงค่อนข้างเงียบในวันทำงาน
แต่ในวันเสาร์-อาทิตย์ บนชั้น 6 ซึ่งเป็นห้องของครอบครัว จึงจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง