บสท.โชว์ผลการดำเนินงานปี 49 บริหารจัดการสินทรัพย์ได้ 115,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 48 ที่บริหารได้ 93,160 ล้านบาท เผยความสำเร็จชูกลยุทธ์ขายตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขายทรัพย์ผ่านเว็บไซต์ เดินหน้าพัฒนาช่องทางระบายเอ็นพีเอกลับสู่ระบบเศรษฐกิจ
รายงานข่าวจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) แจ้งผลประกอบการ ณ สิ้นปี 2549 ที่ผ่านมาว่าสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันการเงินทั้งสิ้น จำนวน 15,265 ราย มูลค่าทางบัญชี 775,778 ล้านบาท โดย บสท. ได้บริหารจัดการจนมีข้อยุติแล้ว จำนวน 15,263 ราย มูลค่าทางบัญชี 771,857 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.49 ในจำนวนนี้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้หรือฟื้นฟูกิจการในศาลล้มละลายกลาง (TDR) จำนวน 7,240 ราย มูลค่าทางบัญชี 510,943 ล้านบาท ร้อยละ 66.20 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีข้อยุติ และลูกหนี้ที่ บสท. ได้ดำเนินการบังคับหลักประกัน/พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด (Non-TDR) จำนวน 8,023 ราย มูลค่าทางบัญชี 260,914 ล้านบาท ร้อยละ 33.80 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีข้อยุติ นอกจากนี้มีลูกหนี้จำนวน 2 รายที่ยังไม่มีข้อยุติคือ บริษัทระบบขนส่ง มวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือBTS มูลค่าทางบัญชี 3,921 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1 ราย เป็นลูกหนี้รายย่อย
สำหรับในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บสท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราที่คาดว่าจะได้รับชำระคืน (Expected Recovery Rate) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 48.09 ของมูลค่าทางบัญชีลูกหนี้ที่ได้ข้อยุติโดยการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ในการคำนวณ Expected Recovery Rate ไม่นำการแปลงหนี้เป็นทุน ปัจจัยความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของลูกค้าในภายหน้าและการด้อยค่าของราคาทรัพย์สินที่ได้รับการตีโอนชำระหนี้มาคิดคำนวณด้วย โดยสิ้นปี 2549 บสท. มีรายรับจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ทั้งสิ้น 115,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2548 ที่มีจำนวน 93,160 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินรับจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 96,983 ล้านบาท การบริหารและจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 17,694 ล้านบาท และการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนวน 1,051 ล้านบาท โดยรายรับส่วนใหญ่มาจากการชำระหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปรับโครงสร้างหนี้ของ บสท. ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับไปดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและนำเงินมาชำระหนี้ได้ตามแผน
ทั้งนี้จนถึงสิ้นปี 2549 บสท. มีทรัพย์สินที่ได้รับจากการตีโอนทรัพย์เพื่อชำระหนี้ และจากการบังคับหลักประกันเข้ามาเป็นทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของ บสท. มูลค่าที่รับตีโอนประมาณ 95,938 ล้านบาท สามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายได้ทั้งสิ้น 17,804 ล้านบาท โดยผู้ซื้อทรัพย์ได้นำทรัพย์ไปพัฒนาทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและได้นำไปใช้ประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ การจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายของ บสท. ถือได้ว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ เป็นผลเนื่องมาจากการวางกลยุทธ์การขายตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น NPA EXPO เพื่ออุตสาหกรรมและลอจิสติกส์ NPA EXPO มหานครสุวรรณภูมิ และ NPA Big Project รวมทั้ง การประกาศขายทรัพย์สินผ่านเว็บไซต์ www.tamc.or.th นับว่าเป็นช่องทางในการช่วยระบาย NPA กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกแนวทางหนึ่ง
นอกจากนี้ บสท. ได้ออกมาตรการเสริมเพิ่มเติมด้วยการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต้องการหาสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชน โดย บสท. ทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงิน และยังยินยอมให้สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ลูกหนี้จดจำนองหลักประกันเป็นลำดับที่ 1 รวมทั้ง ค้ำประกันสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่ขอสินเชื่อใหม่กับสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 2549 บสท. ได้ดำเนินการหาแหล่งเงินทุน หมุนเวียน (Working Capital) และสินเชื่อใหม่ (Refinance) ให้กับลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 45 ราย เป็นวงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 5,094 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าว มีลูกหนี้ 20 ราย ได้รับการอนุมัติ วงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินแล้ว คิดเป็นวงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น 1,863 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ
อย่างไรก็ตามเพื่อช่วยลดการลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยให้กับ บสท. และยังเป็นการช่วยลดภาระหนี้สาธารณะที่เกิดจากการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลงด้วย บสท. ได้นำเงินดังกล่าวไปไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้สถาบันการเงินเพื่อชำระราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้นแล้ว จำนวน 95,311 ล้านบาท จากตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้นทั้งหมดมูลค่า 252,004 ล้านบาท คิดเป็น 37.82% และชำระดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่สถาบันการเงินจำนวน 12,961 ล้านบาท
|