แบงก์ชาติประกาศวงเงินออกพันธบัตรเดือนเมษายนเหลือเพียง 100,000 ล้านบาท จากยอดเดือนมีนาคมที่มียอดกว่า 380,000 ล้านบาท ถือเป็นผ่อนคลายการดูดซับสภาพคล่อง รองรับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาลง พร้อมยอดออกพันธบัตร ณ สิ้นเดือนมีนาคมจำนวนรวม 1.42 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนธันวาคมปี 49 กว่า 5.3 แสนล้านบาท เพื่อดูดซับสภาพคล่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ธปท.ได้มีเปิดประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย วงเงิน 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรอายุ 1 ปี วงเงิน 30,000 ล้านบาท และพันธบัตร ธปท.อายุ 14 วัน 30,000 ล้านบาท จากวงเงินพันธบัตรที่ประกาศจะออกในเดือน เม.ย.2550 ทั้งสิ้น 100,000 ล้านบาท โดยผลการประมูล พันธบัตร ธปท.อายุ 14 วัน 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ประมูลได้ 4.18-4.20% ส่วนพันธบัตร ธปท.อายุ 1 ปี อีก 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงเหลือ 3.81-3.83 % โดยพันธบัตรที่ออกในครั้งนี้ ยังเป็นวงเงินเดิมที่ได้รับจัดสรรไว้ก่อนหน้า ยังไม่ใช่วงเงินใหม่ 400,000 ล้านบาทที่ ธปท.เสนอกระทรวงการคลังเพื่อออกพันธบัตรเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ล่าสุด สิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,368,461 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมา ธปท.ยังมีความจำเป็นที่จะต้องดูดซับสภาพคล่อง จากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อลดความผันผวน และการแข็งค่าของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง และเมื่อรวมกับยอดล่าสุดที่ออกไปวานนี้ (3 เม.ย.) ทำให้มียอดคงค้างการออกพันธบัตร ธปท.ทั้งสิ้น 1,428,461 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับสิ้นเดือน ธ.ค.2549 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดคงค้างการออกพันธบัตร ธปท.ทั้งสิ้น 896,702 ล้านบาท ทั้งนี้ หากดูข้อมูลการออกพันธบัตรของธปท. จะพบว่า ช่วงเวลาประมาณ 3 เดือนกับ 3 วันของปีใหม่ ธปท.มีการออกพันธบัตร ธปท.เพิ่มเติมในปีนี้แล้วทั้งสิ้น 531,759 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการออกพันธบัตร ธปท.ในเดือน เม.ย.ที่ลดลงมาก โดยมีการประกาศจะออกพันธบัตร ธปท.ในเดือนนี้ เพียง 100,000 ล้านบาท เทียบกับยอดการออกพันธบัตร ธปท. รวมกันทั้งสิ้น 387,759 ล้านบาท ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ธปท.มีแนวโน้มที่จะลดการดูดซับสภาพคล่องของระบบลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอนาคค โดยคาดหมายกันว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที 11 เม.ย.ที่จะถึงนี้ ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าทุกครั้งแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโดยรวม
|