ผลงานดีต่อเนื่อง เติบโตโดดเด่นสวนทางภาวะเศรษฐกิจขาลง FORTH - SAMART 2 หุ้นดาวเด่นกลุ่มไอที งานในมือแน่น มีโครงการสร้างรายได้ใหม่เพียบ ค่าเงินบาทแข็งหนุนลดต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบ
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันดูเหมือนจะไม่สดใสนัก ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงติดต่อกันทำให้คาดว่ารายได้ของหลายบริษัทจะไม่มีการเติบโตมากนักในปีนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาวิ่งกันอยู่ในกรอบแคบๆไปได้ไม่ไกล แต่ก็ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะซึมกะทือกันไปเสียหมดเพราะท่ามกลางวิกฤติก็ยังมีโอกาสได้ อย่างในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก็มีหุ้นอย่างน้อย 2 ตัวที่น่าจับตามองถึงการเจริญเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจในปีนี้คือ FORTH และ SAMART
สำหรับ บมจ.ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น (FORTH) ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นสูงสุดของกลุ่มในปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 213.48 ล้านบาท หรือ 0.51 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 537.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.68 ล้านบาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น
สำหรับกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นแรง เป็นผลมาจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,480.61ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่1,678.79 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการขาย,การบริการ และรายได้จากการรับเหมาโครงการที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
ขณะที่ในปีนี้ FORTH ก็ตั้งเป้าว่ากลุ่มงานรับจ้างผลิตจะมีการเติบโตจากปี 2549 ในอัตราที่สูงถึง 300% เนื่องจากบริษัทได้รับงานจาก Western Digital (WD) ในขณะที่สินค้าในกลุ่มตู้ชุมสายอินเตอร์เน็ทความเร็วสูง (IP- DSLAM) คาดว่าเติบโตประมาณ 40% จากยอดขายของ DSLAM และ MSAN ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจไฟจราจร น่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องประมาณ 10% เช่นเดียวกับการขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวกจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากจะรับรู้รายได้จากงานที่มีอยู่ในมือแล้ว FORTH ยังมีการเซ็นสัญญารับงานใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปีนี้จะมี 3 งานใหญ่ที่จะเข้าร่วมประมูล คือ งานแผนที่ภูมิศาสตร์GIS ของการไฟฟ้าภูมิภาค และงานประมูลมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีการตั้งเป้าผลการดำเนินงานปี 2550 ว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นอีกเท่าตัว โดยมีรายได้ทะลุ 5 พันล้านบาท
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) นครหลวงไทย ประเมินว่าปี 2550 จะยังเป็นปีแห่งการเติบโตของ FORTH อีกปีหนึ่ง ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการคือ การขยายตัวของธุรกิจโทรคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Internet Protocol (IP) ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ด้าน IP ซึ่งเป็นฐานธุรกิจของ FORTH โดยจะมีข้อได้เปรียบด้านการวิจัยและพัฒนาทำให้สินค้ามีมาร์จิ้นสูงกว่า 35% และ จากคำสั่งซื้อ PCBA มูลค่า 2.0 พันล้านบาทของ WD เริ่มผลิตในเดือนเม.ย.2550 จะทำให้รายได้และกำไรสุทธิในปี 2550 จะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จึงแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินมูลค่าเหมาะสม ณ สิ้นปี 2550 ไว้ที่ 11.06 บาท อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยที่ 5% ยังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีกด้วย โดยงวดปี 2549 ประกาศจ่าย 0.20 บาท/หุ้น XD วันที่ 5 เม.ย. จ่ายวันที่ 24 เม.ย.
ส่วน บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART)มีผลประกอบการของปีที่ผ่านมากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,990.29 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 583.70 ล้านบาทหรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 237.70% มาที่ 2.06 บาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่0.61 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 31,001.65 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้าที่18,858.67 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเสาอากาศวิทยุโทรทัศน์และจานรับสัญญาณดาวเทียม,ธุรกิจการควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา,ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยและระบบสื่อสารด้านภาพและเสียง,ธุรกิจบริการอินเตอร์เน็ต
ทั้งนี้หุ้นในกลุ่ม SAMART มีผลกำไรโดดเด่นทั้งกลุ่ม ทั้ง บมจ. สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (SIM) และ บมจ.สามารถเทเลคอม จำกัด (SAMTEL) สามารถทำกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นติดในกลุ่มหุ้นที่กำไรต่อหุ้นเพิ่มโดยทั้ง 2 บริษัท อยู่ในลำดับที่ 8 และ11 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการบริหารของกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพมาก
สำหรับแผนงานในปีนี้ SAMART ได้เตรียมความพร้อมในหลายด้านเพื่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเน้นให้เป็นปีแห่งการเพิ่มมูลค่าหรือความคุ้มค่าในการใช้สินค้าและบริการของกลุ่มสามารถฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 21 %
ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ประเมินว่า กลุ่ม SAMART ถือว่าน่าสนใจหากเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากหุ้นนี้โดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของกฎระเบียบ การแก้ไขสัญญาสัมปทาน รวมทั้งสถานการณ์ต่างๆที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ผลประกอบการน่าจะลดลง แต่กลุ่ม SAMART กลับไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการดังกล่าว และยังสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยเฉพาะ SIM ที่ยอดขายโทรศัพท์มือถือคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น SAMART ราคาเป้าหมาย ปี 2550 ที่ 11.00 บาท
ด้านนักวิเคราะห์เทคนิค บล. กรุงศรีอยุธยา มองว่า ระยะสั้นหุ้นในกลุ่ม SAMART มีสัญญาณการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ดังนั้นคงแนะนำ "ซื้ออ่อนตัว" ตามแนวรับในหุ้น SAMART โดยให้แนวรับ 8.90 บาท และแนวต้านที่ 9.10 บาท
แม้ว่าที่ผ่านมาธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขายหุ้นชินฯ,สงครามค่าโทรศัพท์มือถือ ,ปัญหาเรื่องค่าสัมปทาน รวมถึงเรื่องพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว แต่ปัจจัยลบดังกล่าวไม่ได้ทำให้ผลประกอบการและอัตราการเติบโตกำไรของหุ้นในกลุ่มนี้เสื่อมความน่าสนใจไปทั้งหมด
|