|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทีพีซีเล็งสยายปีกลงทุนปิโตรเคมีเพิ่มในเวียดนาม ใช้เงินลงทุน 500 ล้านเหรียญภายใน 5ปี ผุดโครงการผลิตVCM รองรับตลาดพีวีซีที่เติบโตสูง ลั่นแผนซื้อหุ้นโรงงานพีวีซีจากปิโตรเวียดนามไม่คืบในกลางปีนี้ เตรียมผุดโรงงานใหม่เอง ตั้งเป้าปีนี้ยอดขายโตขึ้นไม่มาก เนื่องจากมีกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มขึ้น 2หมื่นตันและราคาปรับขึ้นเล็กน้อย
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(ทีพีซี) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนจะใช้เงินลงทุนในประเทศเวียดนามประมาณ 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1.40-1.75 หมื่นล้านบาทภายใน 5ปีข้างหน้า (2550-2554) ซึ่งบริษัทฯกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนปิโตรเคมีขั้นกลางที่เวียดนาม เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบรองรับโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซี คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จและเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ภายในไตรมาส 3/2550
การตัดสินใจจะขยายการลงทุนปิโตรเคมีขั้นกลางในเวียดนาม เพื่อรองรับความต้องการใช้เม็ดพลาสติกพีวีซีในเวียดนามเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 7-8%ต่อปี สูงกว่าประเทศไทยที่ขยายตัวเพียง 3-4% ขณะเดียวกันเวียดนามมีตลาดรองรับโซดาไฟ ซึ่งเป็นผลพลายได้จากจากการผลิต VCM ด้วย โดยการศึกษาดังกล่าวบริษัทจะดูรายละเอียดถึงความเป็นไปได้ของโครงการทั้งVCM/EDC ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซี
ทั้งนี้ ทีพีซีได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตพีวีซีในเวียดนาม มีกำลังการผลิต 1.2 แสนตัน/ปี ปัจจุบันเดินเครื่องผลิตเต็มที่ และยังส่งออกพีวีซีจากไทยไปจำหน่ายที่เวียดนามอีกปีละ 3-4 หมื่นตัน ล่าสุด บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาขอซื้อหุ้นโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีที่ปิโตรเวียดนามถือหุ้นอยู่ 43% โดยเรื่องดังกล่าวกำลังรอการตัดสินใจจากปิโตรนาส ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของปิโตรเวียดนามอยู่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร หลังจากโรงงานดังกล่าวประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจายังไม่มีความคืบหน้าภายในกลางปีนี้ บริษัทฯจะตัดสินใจลงทุนขยายกำลังการผลิตพีวีซีเอง ซึ่งแผนศึกษาการลงทุนในเวียดนามดังกล่าวข้างต้นจะครอบคลุมการลงทุนต่างๆแบบครบวงจร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายคเณศ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี49ที่มีรายได้รวม 2.55 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีเพิ่มขึ้นอีก 5%จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ 4.8 แสนตัน/ปี เป็นผลจากโรงงานผลิตพีวีซี สายการผลิตที่ 9 อีก 1.2 แสนตันจะเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงก.ค.นี้ แต่บริษัทฯจะปิดโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีที่พระประแดง ขนาดกำลังการผลิต 8 หมื่นตัน/ปี เนื่องจากเป็นโรงงานเก่า ทำให้มีต้นทุนผลิตสูง ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเพียง 2 หมื่นตัน
ส่วนราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิม 815 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็น 850 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากราคาวัตถุดิบได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว อาทิ เอทิลีนและEDC โดยในปีที่แล้ว ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีไม่สามารถขยับราคาขึ้นได้เป็นผลมาจากปริมาณเม็ดพีวีซีจากสหรัฐฯจำนวนมากไหลเข้าสู่จีน รวมทั้งการลดปริมาณนำเข้าเม็ดพลาสติกพีวีซีจากจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ บริษัทฯมีการขยายกำลังการผลิตท่อและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก 1.13 แสนตันเป็น 1.45 แสนตัน/ปี ซึ่งราคาท่อพีวีซีในปีนี้น่าจะขยับราคาสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบเช่นกัน
"การลดปริมาณการนำเข้าพีวีซีในจีนไม่ใช่สัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอยของธุรกิจ แต่จีนเป็นประเทศที่มีการบริโภคพีวีซีสูงถึง 10 ล้านตันคิดเป็น 1/3ของโลก เมื่อจีนขยับอะไรก็กระทบตลาดโลก โดยปริมาณการผลิตพีวีซีในจีนเพิ่มมาก ทำให้ลดปริมาณนำเข้าลง ดังนั้น บริษัทจึงหันไปเจาะตลาดใหม่ๆเพิ่มเติมอาทิ ยุโรปตะวันออก เช่น ตุรกี อาฟริกา และอินเดีย โดยยืนยันว่าจีนยังมีความต้องการใช้พีวีซียังเติบโตต่อเนื่องอยู่ "
ปัจจุบันส่วนต่างราคาสินค้ากับวัตถุดิบ (PVC-EDC GAP)ไม่ค่อยดี เนื่องจากอีดีซีซึ่งเป็นวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 300 กว่าเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่เชื่อว่าทั้งปีคงต่ำกว่า 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากราคาเอทิลีนลดลงเหลือ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นผลจากโรงโอเลฟินส์มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
สำหรับความต้องการใช้พีวีซีในไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5 แสนตันปี เพิ่มขึ้นจากปี2549 ที่มีการใช้รวม 4.8 แสนตัน แต่กำลังการผลิตในประเทศยังเกินความต้องการใช้อยู่ ทำให้บริษัทฯยังต้องส่งออกพีวีซีไปต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงถึง 45 %ของรายได้รวม แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯพยายามลดผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยมีการทำประกันความเสี่ยงเป็นระยะ และการนำเข้าวัตถุดิบ อาทิ EDC และเอทิลีนจากต่างประเทศบ้าง ทำให้ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทบ้าง แต่ก็มีสัดส่วนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกพีวีซี
|
|
|
|
|