คตส.ลงมติชงเรื่องให้สรรพากรเก็บภาษี 2 ลูกรักทักษิณ "โอ๊ค-เอม" รวมกว่าหมื่นล้านบาท โดยต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาเกือบ 5.7 พันล้าน และเงินหัก ณ ที่จ่ายในฐานะกรรมการ บริษัท แอมเพิลริช อีก 4.8 พันล้าน แต่ถ้ายังแข็งขืนเจออ่วมทั้งค่าปรับและดอกเบี้ย แฉมีการวางแผนซิกแซกเพื่อเลี่ยงภาษี โดยการขายหุ้นทางอ้อมและโอนสองขยัก พร้อมสร้างเกาะป้องกันด้วยการดึงกรมสรรพากรมารับรองไม่ต้องเสียภาษี ด้าน "แม้ว-หญิงอ้อ" เล่นเกมยื้อชี้แจงข้อกล่าวหาซื้อที่ดินรัชดาฯ
นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการกรรมการ คตส. และนายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ คณะกรรมการ คตส. ในฐานะ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการซื้อขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป ร่วมแถลงข่าววานนี้ (2 เม.ย.) หลังการประชุม คณะกรรมการ คตส. กรณี นายพานทองแท้และ น.ส. พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงการชำระภาษีการจากซื้อขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป กับ บริษัท แอมเพิลริช อิมเวสต์เม้นท์ จำนวน 329.2 ล้านหุ้น
นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีการซื้อขายหุ้นแอมเพิลริช แยกออกเป็น 3 ส่วนคือ 1. กรณีที่ บริษัท แอมเพิลริช ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ให้นายพานทองแท้และน.ส. พิณทองทา ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาจริงสูงถึง 49.25 บาท 2. กรณีบริษัท แอมเพิลริช จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริตริเวอร์จิ้น ในไอแลนด์ แต่ไม่มีการประกอบการ ใดๆ นอกจากประกอบธุรกรรมในประเทศไทย 3. กรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ประพฤติมิชอบโดยระบุในหนังสือตอบรับว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ไม่ต้องเสียภาษี
นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีนี้ คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบพบว่า การทำธุรกรรมในข้อ 1. เข้ากับคำวินิจของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 คือการนำหุ้นไปจำหน่ายจ่ายแจกให้บุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ หรือ ที่ปรึกษา บริษัท โดยมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด ย่อมถือว่าบุคคลนั้นมีเงินได้ต้องชำระภาษี ไม่ว่าจะขายในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกรณีนี้ได้รับคำยืนยันจากนายโกเมน สืบวิเศษ เลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้มาชี้แจงแล้วว่าการซื้อขายหุ้นดังกล่าว เข้าตามกรณีนี้ กรณีการนำหุ้นบริษัทตัวเองมาขายให้กรรมการบริษัท โดยไม่ชำระภาษีสร้างความเสียหายแก่รัฐ จึงต้องเสียภาษี
อนุกรรมการตรวจสอบพบว่า การขายหุ้นครั้งแรกจำนวน 329.2 ล้านหุ้น จะต้องมีภาระภาษีเงินได้ในส่วนของนายพานทองแท้ จำนวน 2,845,681,856.74 บาท ขณะที่ น.ส. พิณทองทา ต้องชำระ 2,845,534,320.96 บาท รวมเป็นเงิน 5,691,216,177.70 บาท
ไม่จ่ายภาษีตามกำหนดถูกยึดทรัพย์
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับเงินภาษีที่บริษัท แอมเพิลรัช ต้องหัก ณ ที่จ่าย ภายในวันที่ 7 ก.พ. 2549 แต่ปรากฏว่ายังไม่มีการหัก อนุกรรมการจึงได้ประเมินเรียกเก็บจากบริษัท แอมเพิลริช แม้จะมีการขายในราคา 1 บาท แต่ได้รับผลประโยชน์ในราคาจริงตามท้องตลาดคือ 48 บาท ดังนั้นนายพานทองแท้ ในฐานะกรรมการ บริษัท จึงต้องจ่ายภาษีที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายรวม 14 เดือน จำนวน 3,443,049,416.85 บาท ส่วนน.ส.พิณทองทา แม้จะอยู่ในประเทศไทยไม่ครบ 180 วัน แต่รายได้ดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงต้องหักในอัตราที่เจ้าตัวอยู่ต่างประเทศ 15 % รวม 14 เดือน เป็นเงิน 1,441,463,925 บาท โดยทั้งสอง คนจะต้องนำส่งภายในวันที่ 7 เม.ย. 2550 รวม 4,884,513,341.85 บาท หากพ้นระยะเวลาชำระ จะต้องเสียอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1.5%
"ถ้าหากทั้งสองคนไม่ชำระเงินดังกล่าวให้ตรงตามกำหนดเวลา อาจจะต้องถูกยึดทรัพย์ เว้นแต่จะมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน และวงเงินก็จะขยายขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์"
แฉวางแผนซิกแซกเพื่อไม่ต้องเสียภาษี
นายแก้วสรร กล่าวว่า สำหรับหุ้นชินคอร์ปมีการเคลื่อนไหวในวันที่ 1 ธ.ค. 2543 ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 และอ้างว่า ได้ขายหุ้นบริษัทให้บุตรชายในราคา 1 เหรียญ ต่อมาวันที่ 29 ส.ค. 2544 บริษัท ชินคอร์ปได้แตกหุ้นจากหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาทเป็นผลให้บริษัท แอมเพิล ริช เป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 11.2 % ของหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ต่อมา 16 พ.ค.2548 นายพานทองแท้ ได้เรียกหุ้นบริษัท แอมเพิล ริช อีก 4 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 เหรียญรวมเป็น 5 หุ้นราคา 5 เหรียญ แล้วแบ่งขายให้ น.ส.พิณทองทา 1 หุ้นในราคาหุ้นละ 1 เหรียญทำให้บริษัท แอมเพิล ริช มีผู้ถือหุ้นรวมเป็นสองคน คือ นางพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา โดยบริษัทนี้ไม่มีทรัพย์สินใดเลยนอกจาก การถือหุ้นชินคอร์ปฯ 11.2 % หรือ 329.2 ล้านหุ้น
นายแก้วสรร กล่าวว่าต่อมาเดือนม.ค.2549 มีการจดแจ้งจากศูนย์ฝากหลักทรัพย์ว่าหุ้นดังกล่าวถูกขายสองครั้งคือวันที่ 20 ม.ค. 2549 โดย บริษัท แอมเพิล ริช ขายหุ้นของตัวเองนอกตลาดหลักทรัพย์ฯให้กับนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา คนละ 164.6 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท วงเงิน 329.2 ล้านบาท และวันที่ 23 ม.ค. 2549 นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาขายหุ้นดังกล่าวให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงิน 16,295.4 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีและอ้างเหตุผลสามข้อคือ 1. การโอนเมื่อ 20 ม.ค.2549 ไม่เสียภาษีเพราะขายในราคา ทุนที่ซื้อมา 2.นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา รับโอนหุ้นมาในราคาถูก โดย ไม่เกิดรายได้ 3.การโอนต่อให้กับกลุ่ม เทมาเส็กแม้ผู้ขายจะมีกำไรเป็นหมื่นล้านบาท แต่เป็นการขายโดยบุคคลธรรมดา และขายในตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับการยกเว้น ตามประมวลรัษฏากร มาตรา 42(17)
"ประเด็นนี้ คตส.พบว่าผู้เกี่ยวข้องได้เริ่มวางแผนรวมหุ้นชินคอร์ปของครอบครัว ชินวัตรเพื่อขายให้กับกลุ่มทุนสิงคโปร์ตั้งแต่ 1 ก.ค. 2548 แต่สาเหตุที่ทั้ง นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาในฐานะกรรมการบริษัทไม่ขายหุ้นดังกล่าว โดยตรงให้กับ เทมาเส็ก ก็เพราะต้องเสียภาษี 2,382.57 ล้านบาท คตส.จึงสรุปว่า การขายหุ้นเมื่อ 20 ม.ค.2549 กระทำเพื่อมุ่งหลีกเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าว โดยใช้การขายหุ้นทางอ้อมและโอนสองขยัก แล้วยังสร้างเกาะด้วยการทำหนังสือหารือ ไปยังกรมสรรพากร เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี"
อย่างไรก็ตามประมวลรัษฏากรมีบทบัญญัติข้อหนึ่งว่าการขายหุ้นให้กับกรรมการหรือพนักงานของบริษัท ที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์เป็นพิเศษนั้น ประโยชน์เช่นนี้กฎหมายจะถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยทันที พฤติกรรมดังกล่าวกลุ่มผู้วางแผนได้พยายามวางอุดช่องว่าโดยวิธีการต่างๆ เช่นการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่ต่างประเทศ การกล่าวอ้างว่าขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นทั้งที่เป็นบุคคลคนเดียวกันกับกรรมการบริษัท คตส.สอบแล้วพบว่าพฤติกรรมนี้ เป็นเท็จเพราะมีการยอมรับตั้งแต่ต้นว่า บริษัท แอมเพิลริช มีการขายหุ้นให้กับ นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ในฐานะที่ทั้งสองเป็นกรรมการบริษัท การขายหุ้นดังกล่าวมีการทำเป็นขบวนการและวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อหาช่องทางจะได้ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว
นายสัก กล่าวเสริมว่าอนุกรรมการกำลังตรวจสอบใน 2 กรณีคือ การหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ซึ่งถือว่ามีความอาญา และกรณีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร และคตส.จะรีบส่งตัวเลขการประเมินภาษีดังกล่าวไปให้ กรมสรรพากรโดยเร็ว
โอ๊ค-เอมยังไม่ยื่นภาษีแอมเพิลริช
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ยังไม่มีรายงานว่านายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทาได้ยื่นแบบแสดงรายการผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมกรณีรายการส่วนต่างจากการซื้อหุ้น ชินคอร์ป จากบริษัท แอมเพิลริช และขายให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ถือว่าการยื่นเป็นเอกสาร ณ สำนักงานสรรพากรเขต หมดเวลา แต่ทั้งสองยังมีเวลาถึงเที่ยงคืนวันที่ 2 เม.ย. ด้วยการยื่นแบบผ่านอินเตอร์เนตและหากมีภาระต้องจ่ายภาษีก็สามารถโอนผ่านอินเตอร์เนตแบงก์กิ้งได้
ล่าสุดเวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สรรพากรแจ้งว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ได้ไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภงด.90 ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 สำนักงานสรรพากร สาขาปทุมวัน 1 อาคารศรีจุลทรัพย์ 2 แล้ว แต่เป็นการยื่นเพราะทั้งสองคนทำธุรกิจส่วนตัว ได้แก่ร้านถ่ายรูป She@Mood กับบริษัทฮาวคัมฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น บริษัท แอมเพิลริช แต่อย่างใด
ขั้นตอนหลังจากนี้ นายศานิตเปิดเผยว่า กรมสรรพากรคงต้องรอให้ คตส. ส่งข้อมูลมาให้ โดยกรมฯ จะนำมาพิจารณาประกอบกับข้อมูลที่มีอยู่เพื่อทำการประเมินภาษี ซึ่งการประเมินต้องใช้เวลาและต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ ที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูล และออกหมายเรียกผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชี้แจงก่อน ซึ่งยังไม่แน่ใจว่ามูลค่าภาษีจะเป็นอัตราเดียวกับที่ คตส. คำนวณหรือไม่ เพราะต้องตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อน
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวว่า หากข้อมูลของ คตส. มีความชัดเจนแล้ว กรมสรรพากรก็ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกบุคคลทั้งสองมาชี้แจงอีก รวมทั้งไม่ต้องแจ้งเตือนว่าต้องมาเสียภาษีเพิ่มเติมหรืออื่นๆ โดยสามารถดำเนินการประเมินภาษีได้ทันที ซึ่งหากบุคคลทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งให้มาเสียภาษีแล้วไม่มา เสียภาษีภายใน 30 วัน จะถูกคิดเบี้ยปรับเพิ่มเป็น 2 เท่าของวงเงินภาษีที่มีการประเมิน อย่างไรก็ดี บุคคลทั้งสองมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีได้ แต่หากไม่มาดำเนินการใดๆ ก็จะถูกยึดทรัพย์
ไม่จ่ายโดนปรับและดอกเบี้ยอ่วม
นายอนุเทพ พงษ์พิทักษ์ อนุกรรมการตรวจสอบฯ กล่าวว่า ในวันที่ 4 เม.ย. อนุกรรมการจะส่งเอกสารการประเมินภาษีดังกล่าวไปให้กรมสรรพากร เพื่อทำการ เรียกเก็บภาษีจากทั้งสองบุคคล ซึ่งการที่ทั้งสองบุคคลยื่นแบบการขอคืนเงินแทนที่จะจ่ายเพิ่ม ทำให้ต้องมีภาระภาษีที่ต้องจ่ายหลังจากวันที่ 2 เม.ย.เป็นเงิน 6,539,041,633 บาท โดยเป็นเงินที่ต้องจ่ายภาษีรายได้จากการซื้อหุ้น 5,691,216,177.70 บาท รวมเงินเพิ่มของนายพานทองแท้ ในฐานะกรรมการ บริษัท แอมเพิลริช อีก 597,554,031.02 บาท และเงินเพิ่มของ น.ส.พิณทองทา ในฐานะกรรมการบริษัท อีก 250,171,425 บาท แต่ถ้าจ่ายหลังจาก กรมสรรพากรออกหมายเรียก จะต้องถูกสั่งให้จ่ายเบี้ยปรับ ซึ่งจะเป็น 2 เท่าของเงิน 5,691,216,177.70 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ต้องเสียภาษีรายได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นทั้งสองบุคคลจะต้องจ่ายภาษีพร้อมเบี้ยปรับ รวมดอกเบี้ยอีก 1.5 % ต่อเดือน รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท และจะมีการงอกอีกเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นเรื่องของคุกตะราง ถ้ายังไม่ชำระภาษี
นพดลดื้ออ้างโอ๊ค-เอมไม่ต้องเสียภาษี
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และตระกูลชินวัตร กล่าวว่า การที่ คตส.มีมติเรียกเก็บเงินจาก นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา กรณีการซื้อขายหุ้น บริษัท แอมเพิลริช อินเวสเม้นท์นั้น จากการประชุมหารือระหว่างทีมขกฎหมายของตน และทนายของบุตรสาวและบุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่าการยื่นแบบประเมินภาษี ภ.ง.ด.90 ในการซื้อขายหุ้น บริษัท แอมเพิลริช ไม่มีรายการคำนวณเสียภาษี เนื่องจาก
1.บุคคลทั้ง 2 คนมีตัวแทนไปยื่นเสียภาษีแต่ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากไม่มีภาระทางภาษี รวมทั้งการซื้อขายหุ้นที่กระทำระหว่าง บริษัทแอมเพิลริช กับบุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำในต่างประเทศ
2. การขายหุ้นที่กระทำระหว่างนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ที่ขายให้กับ เทมาเส็ก ของสิงคโปร์กระทำในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมสรรพากรและการตรวจสอบยังไม่ยุติ โดยยืนยันได้ว่า บุตรทั้ง 2 ของ ไม่มีเจตนาที่จะปกปิดหรือจงใจ ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.
3.การดำเนินการทางธุรกรรมในการขายหุ้นดังกล่าวปฏิบัติตาม คำวินิจฉัยของกรมสรรพากรที่ได้ระบุว่าไม่มีภาระทางภาษี ดังนั้นที่ผ่านมา นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา จึงไม่ต้องเสียภาษีกับกรมสรรพากร จำนวน 5.8 พันล้านบาท รวมถึงค่าปรับที่คณะอนุกรรมการฯ ของ คตส. คำนวณจากฐานภาษีการซื้อขายหุ้นดังกล่าว อย่างไรก็ดีหาก คตส.มีข้อข้องใจตนและทีมทนายก็จะใช้เหตุผลดังกล่าวชี้แจง
คลังรอ คตส.ส่งชื่อคนผิดหวยบนดิน
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการร้องทุกษ์กล่าวโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับหวยบนดิน ทั้ง 49 คน ไปให้ คตส. ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว แต่หาก คตส.เห็นว่าหนังสือยังไม่ชัดเจน ก็ขอให้ส่งหนังสือกลับมา และยินดีที่จะส่งหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษไปให้ใหม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือที่ คตส.ระบุว่า กระทรวงการคลังต้องทำหนังสือกล่าวโทษฟ้องร้อง เรื่องหวยบนดินมาให้ คตส.ใหม่ เนื่องจากไม่ได้ระบุรายชื่อผู้กระทำผิดให้เรียบร้อย
"เราพร้อมที่จะทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษใหม่ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจาก คตส.เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และเมื่อกระทรวงการคลังทำหนังสือไปถึง คตส.เรียบร้อยแล้ว ผมเองไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงถึงเหตุผลที่ส่งเรื่องให้ คตส.ช้าแต่อย่างใด"
แม้ว-อ้อยื้อแจงข้อกล่าวหาที่ดินรัชดา
นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คณะกรรมการ คตส.ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวน กรณีการซื้อที่ดินย่านรัชดาของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา คตส.ได้มีมติ แจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ภริยา ซึ่งในวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้ส่งผู้แทนมายื่นหนังสือถึง คตส. เพื่อขอขยายเวลาในการเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปอีก 30 วัน จากเดิน ที่ต้องเข้าชี้แจงในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนจะประชุม เพื่อพิจารณาหนังสือขอเลื่อนดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ได้ขอขยายเวลามาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนก็ประชุมและมีมติให้เลือนการเข้าชี้แจงในวันดังกล่าว
"ก่อนหน้านี้ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาก็เคยขอขยายเวลาออกไปถึง 90 วัน แต่ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าช่วงเวลาที่ขอนั้นนานเกิดไป เราจึงผ่อนผันให้ขยายเวลาได้ถึงวันที่ 4 เม.ย.นี้ ซึ่งเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมหากมีเหตุผลที่ฟังได้เราก็อนุญาตตามที่ขอ แต่หากดูในลายละเอียดลึกลึกแล้วฟังไม่ได้ เราก็ไม่ขยายเวลาให้ ซึ่งตรงนี้จะถือว่า ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสองคนสละสิทธิที่จะแก้ข้อกล่าวหา ทำให้เสียประโยชน์ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมว่า จะมีมติอย่างไร เพราะเราต้องให้ความเป็นธรรม"
ส่วนจะสามารถส่งอัยการฟ้องในช่วงใด นายอุดมกล่าวว่า หากผู้ถูกกล่าวหา ชี้แจงไปพาดพิงถึงใคร หรืออ้างเอกสารจากที่ใด เราก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ เพื่อหาข้อเท็จจริง หลังจากนั้นเราก็จะมาประชุม เพื่อสรุปสำนวนทั้งหมด ก่อนที่จะส่งให้ที่ประชุมใหญ่ คตส.มีมติส่งให้อัยการฟ้อง
|