|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อายิฯ ยันปัจจัยลบรุมเร้า ตลาดอาหารเครื่องดื่มยังโตเท่าปีที่ผ่านมา ลั่นปีนี้ขอรายได้โตเป็นตัวเลขสองหลัก อัดฉีด 550 ล้านบาท สกัดผู้ท้าชิงกาแฟพร้อมดื่มเนื้อหอม คลอดสินค้าใหม่ลง 3 ตลาด ปลุกตลาดกาแฟอิ่มตัว ปั้นเบอร์ดี้ ริคโค่ กาแฟพรีเมียมขยายฐานคนรุ่นใหม่ ทุ่ม 50 ล้านบาท ปล่อยแคมเปญโปรโมชันครั้งแรก “ฉลอง 15 ปี ดื่มเบอร์ดี้ ลุ้นรถฟรี 15 คัน” สิ้นปีรั้งบัลลังก์ผู้นำตลาดกวาดแชร์เพิ่มเป็น 71-72%
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มเบอร์ดี้ เปิดเผยว่า ภาพรวมอาหารและเครื่องดื่มในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบรุมเร้าหลายประการ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัว พฤติกรรมของผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย
อย่างไรก็ตามการทำตลาดในปีนี้ต้องดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลประกอบการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป็นตัวเลขสองหลัก จากปีที่ผ่านมาซึ่งกำลังจะปิดรอบบัญชีเดือนมีนาคม-เมษายน ในรายได้ของบริษัทเติบโต10% หรือ 14,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่มีกำไรลดลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่การขึ้นราคาสินค้าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะการแข่งขันมีความรุนแรง
ล่าสุดประเดิมการจะเปิดรอบบัญชีใหม่ บริษัทได้ทุ่มงบการตลาด 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รุกทำตลาดกลุ่มกาแฟเบอร์ดี้ ซึ่งเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้ให้ 1 ใน 3 ให้กับบริษัท ด้วยการเปิดตัวกาแฟเบอร์ดี้ ริคโค่ โฉมใหม่รูปแบบบรรจุภัณฑ์กล่องเตตร้า อยู่ในเซกเมนต์พรีเมียม ราคา 15 บาท มี 2 รสชาติ ได้แก่ คาปูชิโน และมอคค่า เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักเรียนและนักศึกษา เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีโอกาสที่จะทำให้ตลาดและแบรนด์เบอร์ดี้มีอัตราการเติบโต มากกว่าการทำตลาดขยายฐานไปสู่กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งบริษัทมีกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม เจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มทั่วไปรวมไปถึงผู้ใช้แรงงานอยู่แล้ว
“ปีนี้ที่บริษัทต้องใช้งบเพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข่งขันมีความรุนแรง อีกทั้งสื่อมีราคาสูงขึ้น และยังมีหลายช่องทาง ทำให้บริษัททุ่มงบเป็นจำนวนเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย สำหรับกาแฟเบอร์ดี้ ลีโอ บริษัทได้ตัดสินใจเลิกทำตลาด หลังจากที่มีอยู่ในตลาด 3 ปี เนื่องจากเป็นกาแฟระดับพรีเมียม ราคา 15 บาท ใกล้เคียงกับเบอร์ดี้ ริคโค่”
พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวกาแฟเบอร์ดี้ทรีอินวัน รสชาติใหม่คาปูชิโน รวมทั้งลูกอมรสคาปูชิโนซึ่งได้ลงสู่ตลาด 2-3 เดือนแล้วได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับสินค้าใหม่บริษัทใช้งบการตลาด 50% จากงบโดยรวม ส่วนอีก 50% เป็นงบสำหรับการทำคอนซูเมอร์แคมเปญ นำร่องด้วยการทุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ”ฉลอง 15 ปี ดื่มเบอร์ดี้ ลุ้นรถฟรี 15 คัน” นับว่าเป็นแคมเปญโปรโมชันครั้งแรกของเบอร์ดี้หลังจากที่อยู่ในตลาดมา 15 ปี เริ่มระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 1 สิงหาคม 2550 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นตลาดกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น จากในช่วง 2 -3ปีที่ผ่านมา ตลาดมีอัตราการเติบโต 5% ส่วนยอดขายตั้งเป้าโต 20%
แนวโน้มตลาดกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มมูลค่า 8,500 ล้านบาท ปีนี้คาดว่ามีอัตราการเติบโต 5-7% ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาทำตลาดมากขึ้น อาทิ แบล็คแคท ซูปเปอร์ มิกซ์ และอาฮ่า โดยเฉพาะการรุกขยายตลาดไปสู่เซกเมนต์พรีเมียม ทั้งนี้คาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าสัดส่วนเซกเมนต์พรีเมียมเพิ่มเป็น 5% จากตลาดรวม ส่วนตลาดกาแฟทรีอินวันมูลค่า 8,400 ล้านบาท คาดว่ามีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 40% ซึ่งปีนี้เซกเมนต์ดังกล่าวก็มีการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน โดยมีแบรนด์ที่ทำตลาดในเชิงรุก 5-6 แบรนด์ ในขณะที่บางแบรนด์ก็ใช้กลยุทธ์ราคา
ปัจจุบันกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มเบอร์ดี้เป็นผู้นำตลาด ครองส่วนแบ่ง 70% ทั้งนี้หลังจากที่เปิดตัวสินค้าใหม่และการทำโปรโมชันคาดว่ากระตุ้นส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น 1-2% เนสกาแฟไม่ถึง 30% ที่เหลือเป็นอื่นๆ ส่วนกาแฟทรีอินวัน มีส่วนแบ่ง 12% ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 15% เป็นอันดับสามของตลาด ไล่เลี่ยกับมอคโคน่า ส่วนผู้นำตลาดเนสกาแฟไม่ถึง 60% และซูปเปอร์ มิกซ์ 20% ลูกอมมีส่วนแบ่ง 12-13% เป็นอันดับ 2 ของตลาดรวม 500 ล้านบาท
|
|
|
|
|