อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์บูมต่อเนื่อง ตลาดแสงสว่างรับอานิสงส์ “แอล แอนด์ อี” รุกหนักตลาดโปรเจกต์ 2 เดือนที่ผ่านมา รายได้ขยับตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15% หรือกว่าเดือนละ 500 ล้านบาท ล่าสุดจับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่ “THORN” และ “LUMASCAPE” หวังเพิ่มศักยภาพด้านผลิตภัณฑ์ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร หวังลุ้นงานโปรเจกต์ภาครัฐ 2 โครงการมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท พร้อมทะลวงตลาดต่างประเทศ ชิงตลาดในเวียดนาม มั่นใจสิ้นปีรายได้ถีบตัวสูงขึ้นอีก 15 % จาก 1,550 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ แอล แอนด์ อี (L&E) ดำเนินธุรกิจด้านอุปกรณ์ให้แสงสว่าง เปิดเผยว่า ธุรกิจอุปกรณ์ให้แสงสว่างในปีนี้ มองว่าค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะตลาดโปรเจกต์ คาดว่าน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15 % ซึงสาเหตุการเติบโตดังกล่าวมาจากหลายปัจจัย เช่น ในส่วนของห้างสรรพสินค้าต่างๆที่ผ่านมา นอกจากจะมีเปิดให้บริการขึ้นใหม่แล้ว หลายชอปในห้างดังกล่าวก็ยังมีการตกแต่งใหม่ด้วย นอกจากนี้ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ก็มีอัตราการเติบโตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคอนโดมิเนียม และกลุ่มโรงแรม รวมถึงรีสอร์ทที่เกิดขึ้นใหม่และมีการปรับปรุงต่างๆ ล้วนส่งผลให้ธุรกิจอุปกรณ์ให้แสงสว่างเติบโตตามไปด้วย
“ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตลาดโปรเจกต์ค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่ดี จากรายได้ของบริษัทฯที่มาจากกลุ่มโปรเจกต์ในเดือนมกราคมมีมูลค่ากว่า 550 ล้านบาท ส่วนกุมภาพันธ์มี 500 ล้านบาท เฉลี่ยมีอัตราการเติบโตเพิ่นขึ้น 15 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ดังนั้นในปีนี้ทางบริษัทฯยังคงจะเน้นทำตลาดในกลุ่มตลาดโปรเจกต์เช่นเดิม คาดว่าตลอดทั้งปีน่าจะมีโปรเจกต์ต่างๆที่มีมูลค่าโครงการไม่เกิน 10 ล้านบาท ร่วมกว่า 100 โครงการ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 15 %”
อีกทั้งทางบริษัทฯยังได้เตรียมยื่นหนังสือเข้าร่วมประมูลงานโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีก 2 โครงการในกรุงเทพและเขตปริมณฑล ซึ่งทั้งสองโครงการรวมกัน คิดเป็นมูลค่าโครงการกว่า 100 ล้านบาท โดยจะเริ่มประมูลได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งการที่บริษัทฯจะได้โครงการทั้ง 2 มาทำนั้น บริษัทฯจะต้องแสดงศักยภาพให้เห็นมากที่สุด
ดังนั้นทางบริษัทฯจึงได้ร่วมมือกับทาง “Thorn Lighting Limited” และ “Lumascape Lighting Industries Pty.,Ltd.” เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯในการเข้ารับงานโปรเจ็กต่างๆให้ได้มากยิ่งขึ้น โดยทั้ง 2 บริษัทฯนี้ ล้วนมีศักยภาพด้านธุรกิจโคมไฟฟ้าในกลุ่มงานโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และโคมไฟฟ้าที่ใช้ในงานภูมิทัศน์ ที่เน้นความสวยงามและทันสมัย จึงมั่นใจว่าปีนี้รายได้จากกลุ่มตลาดโปรเจกต์จะยังคงเป็นรายได้หลัก และมีอัตราการเติบโตขึ้นอีก 15 %
นอกจากนี้ในส่วนของตลาดกลุ่มขายปลีกและขายส่งนั้น ทางบริษัทฯมีนโยบายสร้างเครือข่าย “พันธมิตรทางการค้า”มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยได้เจรจาร่วมกับดีลเล่อร์ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ระยอง และพิษณุโลก เพื่อที่ช่วยทางด้านการขายไม่ว่าจะเป็น การจัดวางโชว์รูม สินค้าในการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายต่างๆ ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพันธมิตรทางการค้าอีก 6-8 จังหวัด โดยได้เริ่มไปแล้ว 1 จังหวัด คือ สุราษฎ์ธานี ซึ่งสินค้าที่วางจำหน่ายนั้น จะอยู่ภายใต้แบรนด์บริษัทฯ คือ L&E โดยจะมีแบรนด์สินค้าอยู่หลายแบรนด์ เช่น LUSO, LUMAX, OPEX, LITEX, LANEX, HOMEX, LAMEX และ SIGNEX
อีกทั้งบริษัทฯยังมีการทำตลาดส่งออกยังต่างประเทศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย มัลดีฟ สวีเดน อังกฤษ บราซิล และออสเตรเลีย โดยเฉพาะเวียดนามนั้น ทางบริษัทฯได้เข้าไปตั้งสำนักงานตัวแทนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยมีพนักงานที่จะช่วยดูแลลูกค้าอยู่ 4 ราย ที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากประเทศเวียดนามให้เพิ่มขึ้นในปีนี้ หลังจากที่บริษัทฯมีแผนที่จะทำตลาดในเวียดนามอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นในปีนี้นั้นเอง
ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงงานการผลิต อยู่ 3 โรง ตั้งอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งแต่ละโรงงานจะผลิตโคมไฟฟ้าต่างประเภทกัน คือ โรงที่ 1 จะผลิตโคมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงาน อาคารพาณิชย์ต่างๆ ส่วนใหญ่ จะเป็นหลอดฟลูออเรสเซ้นต์ โรงที่ 2 จะผลิตโคมไฟฟ้าในกลุ่มสถาปัตยกรรม สำหรับกลุ่มโรงแรม รีสอร์ท ที่ใช้ติดตั้งภายนอกที่พัก และโรงที่3 เป็นโคมไฟฟ้าที่ใช้ภายนอกอาคาร ในกลุ่มถนนหนทางต่างๆ
โดยในปีนี้ทางบริษัทฯได้เพิ่มงบประมาณอีกกว่า 112 ล้านบาท ในการเพิ่มเครื่องจักที่ทันสมัยในการผลิตโคมไฟฟ้าที่จะช่วยทางด้านการลดต้นทุนและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น คาดว่า จะติดตั้งเสร็จภายในไตรมาส 2 และไตรมาส3จะเพิ่มกำลังผลิตได้เต็มที่
นายปกรณ์ กล่าวว่า จากแผนธุรกิจดังกล่าว สิ้นปีคาดว่าบริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 15 % จาก 1,550 ล้านบาทของปีที่ผ่านมา มาจากงานโครงการหรือโปรเจกต์ 65 % ขายส่งและขายปลีก 33% และส่งออก 2 %
|