เมื่อผมมามองย้อนหลังดูเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ได้ข้อคิดบางประการที่น่าสังเกต
และทำให้ผมคิดว่า บางครั้งบางอย่างในการทำงานมันก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เราวางไว้เช่น
พร สิทธิอำนวย เป็นยอดนักบริหาร เพราะเขาเน้นในเรื่องการบริหารโดยใช้เป้าหมายเป็นหลัก
เขาใช้การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือ เขาเน้นการตลาด การเงิน และการจัดการ แต่การตัดสินใจทำหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษขึ้นมาสักฉบับหนึ่ง
กลับใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจ แทนที่เราจะใช้ Research ดูว่า โครงการนี้น่าจะออกมาในรูปไหน?
แต่เรากลับคุยกันแค่ 3 คนเท่านั้น แล้วเราก็บอกว่าทำได้
และแล้ว Business Times ก็เป็นรูปร่างขึ้นมาโดยที่แต่ละคนก็ยังไม่รู้ว่ามันจะออกมาในรูปไหน
และอย่างไร? ในการทำโครงการนั้นผมบอกพรไปว่า เราจะทำ Business Times ให้เกิดขึ้นภายใน
2 ปี หรือภายในวงเงิน 20 ล้านบาท ถ้าถึงเวลานั้นแล้วยังไม่มีอนาคตหรือมองไม่เห็นแสงสว่างก็ควรจะหยุด
ผมจำได้ว่าผมบอกไปว่า "Let's spend 20 million in 2 years and see how it
goes instead of spending 20 million in 5 years and the result is the same
we'll save 3 years. "
ผมเชื่อว่าเวลาที่เราประหยัดไป 3 ปีนั้นทำให้เราสามารถจะทำอย่างอื่นขึ้นมาแก้ไขได้
ถ้าภายใน 2 ปี และเงินอีก 20 ล้านบาทแล้ว Business Times ก็ยังไปไม่ได้
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการเริ่ม Business Times ช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องเงินแต่เป็นเรื่องหาคนมาทำ
ในขณะนั้นค่ายหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 ค่าย คือค่ายของ Allied Newspaper
ซึ่งมีบางกอกโพสต์กับค่าย Nation
ตัวบุคคลที่ทำหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษนั้นแทบจะนับตัวกันได้ในเมืองไทย เพราะเรามีกันอยู่ไม่เกิน
2-3 คน ที่เราสามารถจะมองเห็นว่าพอจะมาเป็นบรรณาธิการได้
แต่ก่อนอื่นเราต้องการบรรดานักข่าวเข้ามาเสียก่อน
เราวางโครงสร้างว่านักข่าวจะต้องเป็นงานและจะต้องเขียนภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร
ที่สามารถจะให้ Rewriter ไม่ต้องนั่งปวดหัวกับภาษาให้มากนัก
ผมโชคดีที่ได้ไพศาล ศรีจรัสจรรยา ซึ่งเคยเป็นบรรณาธิการข่าวบางกอกโพสต์
แต่ออกมาพักหนึ่งแล้วเข้ามาเป็นบรรณาธิการข่าว นอกจากนั้นเรายังดึงตัว John
Leicester ซึ่งเป็นบรรณาธิการฉบับพิเศษของโพสต์เข้ามาร่วมด้วย ส่วนนักข่าวอื่นๆ
นั้นเราใช้วิธีเปิดรับสมัครเอา
พร สิทธิอำนวย ต้องการให้นักข่าวของ Business Times มีการฝึกฝนที่ดีก็เลยส่งนักข่าวเหล่านี้ไปฝึกงานที่หนังสือพิมพ์
Business days ในฟิลิปปินส์ที่เมือง Quezon City โดยการแนะนำของ Gil Santos
อดีตหัวหน้าสำนักข่าว AP ในประเทศไทยยุคหนึ่งและเป็นเพื่อนสนิทของพรด้วย
ส่วนผมถูกมอบหมายให้สรรหาคนที่จะมาเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้
Gil Santos แนะนำคนให้ผม 2-3 คน
ผมมองคน 2-3 คนนั้นรวมทั้งคนในเมืองไทยด้วย แต่มองไม่เห็นว่าจะดึงคนในระดับบรรณาธิการบริหารมาได้
เพราะคงไม่มีใครมา
พรให้เป็นนโยบายมาว่า เขาต้องการลักษณะข่าวของ Business Times ที่แตกต่างไปจากลักษณะข่าวของ
Post และ Nation คือให้มีความน่าอ่านและภาษาต้องเป็นภาษาที่ฝรั่งเขียนไม่ใช่ภาษาที่แปลมาจากภาษาไทยให้เป็นภาษาฝรั่ง
ในที่สุดผมตัดสินใจเลือก Dan Coggin จากการพิจารณาดูข้อเขียนของเขาเปรียบเทียบกับคนหลายๆ
คน Dan เป็นอดีตนักข่าวนิตยสาร Times ในฮ่องกง และเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารธุรกิจรายเดือนที่ชื่อ
Insight ในฮ่องกง
Dan อายุ 40 กว่าแล้วเป็นคนอเมริกัน อดีตเคยเป็นนาวิกโยธิน ลักษณะทั้งหมดเป็นลักษณะของผู้ใหญ่ที่สามารถจะทำงานกันได้ด้วยเหตุผลและอายุที่เลย
40 แล้วพอจะเชื่อได้ว่าคงไม่เป็นคนหุนหันพลันแล่นที่ไม่ยอมจะประนีประนอมส่วน
Background ที่เคยเป็นนาวิกโยธินมาก่อนก็คงจะทำให้สบายใจได ้ในเรื่องการรายงานข่าวที่จะไม่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นแนวร่วมของเขมรหรือเวียดนาม
เพราะการทำหนังสือพิมพ์ในเมืองไทยนั้น ต้องระวังในเรื่องนี้อย่างที่สุด
ผมไปเซ็นสัญญากับ Dan Coggin ที่ฮ่องกง โดยให้เงินเดือนเขา 30,000 บาท พร้อมบ้านเช่าและรถยนต์ประจำตำแหน่งหนึ่งคัน
นอกจาก Dan แล้วก็ยังมี Tim Atkinson นักหนังสือพิมพ์ชาว Australia ที่เคยอยู่
Nation แล้วลาออกไปอยู่ฮ่องกง เข้ามาร่วมทีมด้วย โดย Tim ทำหน้าที่เป็น Chief
sub-editor
ในระยะแรกของการเตรียมงานนั้นทุกคนตื่นเต้นกันหมด เพราะทุกคนรู้ว่าหนังสือพิมพ์นี้มี
PSA เป็นเจ้าของและ PSA ในเวลานั้นกำลังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
หลายคนที่ลาออกจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์และมาอยู่ Business Times เพราะเชื่อว่า
PSA ทำหนังสือพิมพ์จริงไม่ได้ทำเล่นๆ
"ผมอยู่ Post มาสิบกว่าปี การที่ผมตัดสินใจออกมานี้ผมต้องคิดหนักมาก เพราะที่ใหม่ต้องมั่นคงพอดู
ผมถึงจะลาออก และผมเห็นว่า PSA เป็นองค์กรธุรกิจที่มีหลักฐานจริง " ราฟ บาโช
นักหนังสือพิมพ์ชาวพม่าคนหนึ่งเล่าถึงการตัดสินใจมาอยู่ Business Times ของเขาให้ผมฟัง
ในที่ประชุมของ staff พรเองเมื่อถูกถามถึงความตั้งใจในการทำหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เขาก็บอกว่า
เขาพร้อมจะสนับสนุนหนังสือพิมพ์เล่มนี้ไปให้ถึงที่สุด
การทำหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีแท่นพิมพ์เป็นของตัวเอง
และยังเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษด้วยนั้นจำเป็นจะต้องมีการเตรียมงานกันและวางแผนให้ลงตัวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ผมจำได้ว่าในระยะ 30 วันแรกที่หนังสือออกทั้งผมและพร สิทธิอำนวย แทบจะไม่ได้กินไม่ได้นอนคลุกกันอยู่ในกองบรรณาธิการเพื่อเข็นหนังสือพิมพ์
ให้ออกกันตรงเวลา
เมื่อมองย้อนกลับไปถึง Business Times ในช่วงนั้นก็พอจะเห็นข้อผิดพลาดหลายประการในการทำงานซึ่งพอจะเอามาเล่าสู่กันฟังได้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในการทำงาน
ข้อผิดพลาดข้อแรกคือ ความขัดแย้งในกลุ่มผู้ทำงาน
พร มีเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ที่เป็นนักหนังสือพิมพ์เก่าอยู่ 2-3 คน และเขาก็จ้างเข้ามาทำงานด้วยก็มี
Gil Santos และ Toni Esgoda ทั้งคู่เข้ามาในลักษณะของเพื่อนพร และก็พาคนฟิลิปปินส์เข้ามาอีก
2-3 คนจากฟิลิปปินส์เพื่อมาทำงาน ความขัดแย้งระหว่างฟิลิปปินส์กับฝรั่งก็เลยเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันและในการแก้ปัญหานี้
ผมไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องเพื่อนของพร ที่พรต้องการจะแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
ซึ่งผมเชื่อว่าถ้ามีการแก้ปัญหาโดยเด็ดขาดแล้ว ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่ลุกลามไปจนกระทั่งทำให้การทำงานไม่มีเอกภาพถ้าจะให้ผมเลือกตอนนั้น
ผมก็คงจะเลือกฝรั่ง เพราะมีลักษณะไม่คิดเล็กคิดน้อยและต้องการจะทำงานจริง
เพราะกลุ่มฟิลิปปินโนในขณะนั้นดูเหมือนว่าจะมีลักษณะของการมาพักผ่อนชั่วคราวในเมืองไทยเท่านั้นเอง
ข้อผิดพลาดประการที่สองคือ Positioning ของหนังสือพิมพ์
Business Times เกิดขึ้นมาเพราะเราคิดว่าข่าวสารทางธุรกิจนั้นยังขาดอีกมากและไม่มีสื่อที่จะเข้ามารองรับข่าวประเภทนี้อย่างเต็มที่
แต่เมื่อทำหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ไปแล้ว ความเห็นต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาจากหลายฝ่ายมีทั้งที่แนะนำให้มีข่าวการเมือง
ข่าวสังคม ข่าวกีฬา ข่าวศิลปะ ฯลฯ ในที่สุด Business Times แทนที่จะมี selected
target group และ clear cut positioning ก็กลายเป็น Banglok Post ไปอีกฉบับหนึ่ง
แทนที่เราจะยืนหยัด Uniqueness ของเราให้เห็นเด่นชัดว่าเราเป็นหนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจภาษาอังกฤษฉบับเดียว
เรากลับไปทำ me too product ขึ้นมา จริงอยู่ถึงจะมีคุณภาพสูงแต่การจะชักชวนให้คนที่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาเป็นเวลา
10 ปีให้หันมาอ่านฉบับใหม่นั้นไม่ใช่ง่าย นอกจากฉบับใหม่นั้นจะมีอะไรที่แตกต่างกว่าฉบับเก่า
และเขาเห็นว่ามีประโยชน์กับเขา
อีกประการหนึ่ง การที่เรามีทั้งฉบับบ่ายฉบับเช้าและมีฉบับที่สอดแทรกเป็นพิเศษในวันอังคารและพฤหัสทำให้ผู้อ่านสับสนและหาเอกลักษณ์ของ
Business Times ได้ยาก
ข้อผิดพลาดประการที่สามคือ ความขัดแย้งในองค์กร
Business Times เกิดขึ้นมาโดยความต้องการของพร สิทธิอำนวย คนส่วนใหญ่ใน
PSA จะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจะไม่มีความเห็นอะไร อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่เห็นด้วยและคัดค้าน
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านก็คือ ฝ่ายของสุธี นพคุณ
สุธีให้เหตุผลว่า PSA ไม่ควรทำหนังสือพิมพ์เพราะการทำหนังสือพิมพ์เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูซึ่งไม่เหมาะกับ
PSA
จากการที่มีความขัดแย้งเช่นนี้ก็ทำให้ฝ่ายหนึ่งของ PSA คอยแช่งชักหักกระดูกให้
Business Times ล้มลงไปถึงกับเอาไปพูดกับคนนอกองค์กรว่า Business Times ต้องพังแน่ๆ
จากการที่มีความขัดแย้งเช่นนี้ก็เลยทำให้การทำงานของผมยากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
เพราะนอกจากผมจะต้องไปรบกับคนข้างนอกแล้วยังจะต้องคอยรบกับคนข้างในอีก และศึกภายในกลับดูจะหนักกว่าศึกภายนอกหลายเท่า
เมื่อมองย้อนหลังก็จะเห็นว่าการที่องค์กรหนึ่งจะทำอะไรขึ้นมานั้น น่าจะเป็นการตัดสินใจทำโดยได้รับการปรึกษาหารือจากทุกฝ่าย
ก่อนถึงแม้ว่าคนต้องการจะทำคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในองค์กร แต่ถ้าคนอื่นในองค์กรไม่ให้ความร่วมมือแล้วก็ย่อมจะเกิดปัญหาและอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง
ข้อผิดพลาดประการที่สี่คือ ความไม่พร้อมในเรื่องของการสนับสนุนโครงการ ในการทำ
Business Times นั้นก็เหมือนการทำโครงการต่างๆ ในยุค PSA ช่วงแรกๆ ที่ไม่ได้มีการเตรียมงบประมาณเอาไว้แต่จะเป็นการกู้ยืมเงินจากบริษัทเงินทุนในเครือ
ส่วนใหญ่ก็จะไปเอาที่บริษัทเงินทุนเครดิตการพาณิชย์
ฉะนั้นเมื่อโครงการจะต้องขาดทุนอยู่เรื่อยๆ ทุกเดือน ผู้ที่ต้องเป็นฝ่ายหาเงินทุนเช่นบริษัทเงินทุนเครดิตการพาณิชย์
ก็เริ่มร้อนตัวและไม่อยากให้เงินกู้ยืมอีกต่อไป
ประกอบกับโครงการนี้มีผู้ต่อต้านอยู่แล้วก็พลอยทำให้ พร สิทธิอำนวย เองเริ่มจะลังเลใจและก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้
Business Times ต้องล้มเลิกไปในภายหลัง
ผมได้มีโอกาสหยิบตัวเลขการขาดทุนออกมานั่งดูเมื่อเร็วๆ นี้ พอจะสรุปได้ว่าเรามียอดการขาดทุนใน
10 เดือนตั้งแต่หนังสือออกเป็นเงินประมาณเกือบ 12 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายก่อนดำเนินการประมาณ
1.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นยอดขาดทุนประมาณ 10.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตกเดือนละ
1 ล้านบาท สำหรับรายได้นั้นเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือน จากเดือนละ 2 แสนบาทใน 2-3
เดือนหลัง ปัญหาก็อยู่ที่ว่า จะเพิ่มรายได้อย่างไร และลดรายจ่ายอย่างไร เพื่อให้
break-even ได้ แต่การตัดค่าใช้จ่ายในขณะที่โครงการเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่ถึง
1 ปี นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ถ้าให้นักบัญชีดูก็จะง่าย เพราะสามารถจะตัดโน่นตัดนี่ได้ตามตัวเลขที่ตัวเองนั่งมองอยู่
แต่เผอิญการผลิตหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องของกำลังใจ และจิตวิทยา เพราะทุกคนเชื่ออย่างหนักแน่นว่า
พร สิทธิอำนวย จะหนุนหนังสือพิมพ์ ฉบับนี้อย่างเต็มที่ และทุกคนก็เชื่อว่าเป็นคำพูดที่หนักแน่นและเชื่อได้
อีกประการหนึ่งมีคนอยู่หลายคนที่ตัดสินใจลาออกจากหนังสือพิมพ์ เช่น บางกอกโพสต์ที่เขาอยู่มาสิบกว่าปี
เพราะเขาเชื่อว่าโครงการนี้จะถูกหนุนอย่างจริงจัง เช่น นายแอนตัน เปอเรร่า
นักข่าวกีฬาลายครามของบางกอกโพสต์ ที่เป็นเพื่อนสนิทของพร และพรดึงตัวมาทำงานด้วย
และเขาก็มาเพราะความเชื่อมั่น! ใช่แล้ว! ความเชื่อมั่นคำนี้แหละที่ทำให้คนหลายคนสร้างประวัติศาสตร์มาแล้ว
แต่ในมุมกลับ ถ้าความเชื่อมั่นนี้ถูกทำลายลงไปหรือเพียงแต่ถูกสั่นคลอนเท่านั้น
ความฮึกเหิมหรือกำลังใจในการต่อสู้ก็จะหมดไป
และกรณีนี้ก็เช่นกัน!
หนังสือพิมพ์เป็นสินค้าประเภทหนึ่งแต่ก็ต่างกว่ายาสีฟันตรงที่ว่า หนังสือพิมพ์มีชีวิตจิตใจ
ในขณะที่ยาสีฟันมีองค์ประกอบของเนื้อยาที่เป็นสารเคมี แต่หนังสือพิมพ์มีตัวหนังสือที่ถูกกลั่นกรองมาจากวิญญาณของคนทำ
ถ้าวิญญาณของคนทำขาดความมั่นใจ และความเชื่อมั่นแล้วตัวหนังสือบนหนังสือพิมพ์มันก็ไม่ได้ต่างไปกว่าหมึกเปื้อนกระดาษ
เราได้มีการคุยกันและประชุมกันหลายครั้งในเรื่องการตัดค่าใช้จ่าย
พรต้องการจะตัดทันทีโดยลดค่าใช้จ่ายประมาณ 20% Across the Board และต้องทำทันที
แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าควรจะทำทันที ผมคิดว่าในเมื่อเรามีงบประมาณการทำงานตั้งไว้
20 ล้านบาท และใช้ไปครึ่งหนึ่ง โดยเวลาการใช้เร็วกว่ากำหนด 2 เดือน เราก็ยังพอจะมีเวลาในการทำงาน
อย่างน้อยการที่รายได้เพิ่มมากขึ้นนั้นก็เป็นสัญญาณให้เห็นว่าเรามาถูกทางแล้ว
ผมเห็นด้วยว่าเราน่าจะตัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ต้องไม่ใช่ทันที เพราะจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและข่าวลือจะลือกันไป
ทำให้เสียหายมากกว่านี้
ผมเสนอว่าการตัดค่าใช้จ่ายควรจะทำเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มจากส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวกับกองบรรณาธิการ
แล้วค่อยๆ ขยายไปถึงกองบรรณาธิการโดยลดคนต่างชาติโดยเฉพาะทางฝ่ายฟิลิปปินส์ก่อน
แต่บรรดานักบัญชีและฝ่าย corporate office บอกพรว่า ต้องทำทันที
ปัญหาของ Business Times ในขณะนั้นไม่ใช่ปัญหาที่เลวร้ายว่าเป็นสินค้าที่ขายไม่ได้เลยหรือเป็นปัญหาของการทำงานที่ผิดโปรเจ็กชั่น
หากแต่เป็นปัญหาของการลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ผมคิดว่ากรณีนั้นก็เป็นกรณีทั่วๆ
ไปของการบริหารงานธุรกิจ ที่เราต้องใช้องค์ประกอบหลายๆ ด้านเข้ามาพิจารณา
ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป
ในชีวิตการทำงาน ผมอาจจะทำงานผิดพลาดมามาก เพราะประสบการณ์น้อย แต่อย่างน้อยที่สุดจนทุกวันนี้
ผมก็ยังคิดว่าหลักการของผมในเรื่องที่พูดมาข้างต้นนั้นไม่ผิด และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจนทุกวันนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า
ผมไม่ผิด
หมายเหตุ จากนิตยสารผู้จัดการฉบับที่ 12 เดือนสิงหาคม 2527