Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
บทความจาก ต้องแพ้เสียก่อนจึงจะชนะได้. หนังสือเล่มโครงการ Manager Classic พฤศจิกายน 2544
เข้าสู่สังคมเอ็กเซ็คคิวทีฟ             
 


   
search resources

นิตยสารยานยนต์
พร สิทธิอำนวย




ผมออกจากหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยปลายเดือนธันวาคม 2518

ปีใหม่ปีนั้นเป็นปีที่ผมคิดหนักว่าชีวิตจะเดินไปทางไหนดี

พ่อแม่และทุกคนในครอบครัวคิดว่าผมน่าจะไปทำงานกับฝรั่งคงจะไปได้ดี

แต่ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงชีวิตผมกับงานหนังสือพิมพ์ เพราะในระหว่างที่ผมทำหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยนั้น ชีวิตมันแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ

เพราะยุคนั้นเป็นยุคมืดยุคหนึ่ง

อาจารย์บุญสนองถูกยิงตายขณะกำลังเลี้ยวรถเข้าบ้านแถววิภาวดี

มีการขว้างระเบิดขวดใส่ผู้ว่าฯ ธวัช มกรพงศ์ ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดพังงาตายไปหลายคน

เทอดภูมิ ใจดี ถูกยิงเอาซึ่งๆ หน้าแต่ก็รอดได้แถวๆ วิสุทธิ์กษัตริย์

ผมเองก็เคยถูกมอเตอร์ไซค์ขี่ตามรถหลายครั้งแต่ก็ได้ระวังตัวตลอดเวลา พอผมลาออกมาได้ครอบครัวผมก็โมทนาสาธุ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมรัก การทำหนังสือเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่อยู่เมืองนอกแล้ว ผมกลับไปหาทัสมัน สมิธ ที่ดีมาร์อีก

เขาส่งผมไปให้ผู้จัดการใหญ่ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน สัมภาษณ์เพื่อเป็น Product Manager คงจะเป็นเพราะบุญผมไม่ถึงที่จะไปนั่งบริหารสินค้าเบบี้ออยล์กระมัง พอผู้จัดการใหญ่บอกว่าเขาจะให้ผมทำสินค้าเบบี้ออยล์ ผมก็เลยบอกเขาว่าผมไม่เอา เขาเองก็แปลกใจมากถึงกับถามว่าเงินเดือนที่ให้หนึ่งหมื่นสองพันบาทไม่พอใจหรือ?

ผมเตะฝุ่นอยู่ประมาณสองเดือน ก็พอดีคุณลุงอรุณ แสงสว่างวัฒนะ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิททางคุณพ่อภรรยาผมบอกว่าถ้าผมต้องการคุณลุงจะให้นิตยสารยานยนต์มาทำ ตอนนั้นคุณลุงให้ณรงค์ เกตุทัต ทำนิตยสารยานยนต์อยู่

ด้วยความไม่คิดหน้าคิดหลัง ผมรับปากว่าผมอยากทำ ก็ไปดึงเอานิตยสารยานยนต์จากคุณณรงค์มาทำต่อ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นเป็นการไม่ควรอย่างยิ่งและผมเองก็เสียใจจนทุกวันนี้

ที่ไม่ควรเพราะผมไปแย่งณรงค์เขามา จริงอยู่ผมมีสิทธิเพราะคุณลุงอรุณเป็นเจ้าของหัวหนังสือและมีสิทธิจะให้ผมทำ แต่ในความถูกต้องแล้วผมไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะเท่ากับผมใช้สิทธิอันนี้ไปรังแกณรงค์เขา ซึ่งต่อมาภายหลังอีกหลายปีผมก็ได้รับกรรมที่ผมเคยทำเช่นนี้มา

ในเวลานั้นต้องยอมรับว่าผมไม่มีพื้นฐานทางการค้าเลย เงินแม้แต่บาทเดียวผมก็ไม่มี ภรรยาผมก็เป็นคนที่ไม่อยากให้ผมต้องอึดอัดใจไปเที่ยวกู้ยืมใครก็เลยเอาสมบัติซึ่งเป็นที่ดินของเธออยู่ผืนหนึ่งประมาณ 100 ตร.วา ในซอยอินทามระ 41 ซึ่งปัจจุบันเป็นบ้านพักเอาไปหาเงิน

อาจารย์โพธิ์ จรรย์โกมล ส่งผมไปหาคุณโพธิพงษ์ ล่ำซำ ที่เมืองไทยประกันชีวิตซึ่งก็รับจำนองที่เอาไว้เป็นเงิน 100,000 บาท

ผมก็เรียกหุ้นส่วนเข้ามาอีก 2 คน คนหนึ่งคือ วีระเวช กู้ตลาด ซึ่งดึงเอาเพื่อนคือ อังกูร เทพวัลย์ เข้าร่วมด้วยโดยจะลงกันคนละเท่าๆ กัน แต่ภายหลังสองคนนั้นลงไม่ครบจำนวน ผมก็เลยถือหุ้นใหญ่ ในระหว่างที่ทำนิตยสารยานยนต์อยู่ได้ 2 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นเหตุการณ์หนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องเปลี่ยนการเดินทางของชีวิตไปอีกทางหนึ่ง

ในราวเดือนเมษายนหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยได้ไล่พนักงานกอง บ.ก. ฝ่ายโฆษณาและช่างเรียงออกหมดร้อยกว่าคนเพราะผู้บริหารชุดใหม่ นำโดย ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ซึ่งณรงค์ เกตุทัต เอาเข้ามาแทนผม ต้องการปรับปรุงกองบรรณาธิการแต่โดนกองบรรณาธิการขัดขืนก็เกิดการแตกหักขึ้น คนที่โดนช่วงนั้นก็มีเช่น จันทรา ชัยนาม ไพบูลย์ สุขสุเมฆ สุชีพ ณ สงขลา และอีกมากที่ผมจำชื่อไม่ค่อยได้ ด้วยความเป็นห่วงบรรดาผู้ที่เคยร่วมงานกันมา ผมคิดว่าน่าจะหาทุนทำหนังสือพิมพ์รายวันสักฉบับเพราะเรามีกำลังคนพร้อมแล้ว และด้วยความที่บริสุทธิ์ต่อโลกอย่างไร้เดียงสาผมก็คิดเลยเถิดไปอีกว่า หนังสือพิมพ์ฉบับใหม่นี้น่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ที่มหาชนถือหุ้นอยู่ ด้วยความช่วยเหลือของศาสตราจารย์เผด็จ และภรรยา พี่ชนพรรณ สิทธิสุนทร เราก็พยายามรวบรวมหุ้นกันไปพูดในที่ประชุมเพื่อขายหุ้นหนังสือพิมพ์ที่ชื่อสุภาพบุรุษ ทำกันแทบตายได้เงินค่าหุ้นมาแค่ 8 พันกว่าบาท ในที่สุดผมก็ต้องเปลี่ยนความคิดจากการหามหาชนมาร่วมเป็นนายทุนเข้ามาและเราก็มองว่าต้องเป็นนายทุนที่ใช้ได้

คุณหมอประสาน ต่างใจ ก็เลยแนะนำว่าไปหาคุณบุญชู โรจนเสถียร

ตอนนั้นคุณบุญชูเป็นเพียง ส.ส. จากชลบุรีหลังจากที่ได้เป็นรัฐมนตรีคลังมาแล้ว คุณบุญชูก็นัดเจอตามสไตล์คุณบุญชู คือห้องอาหารคัสติเลียนที่ดุสิตธานี มื้อนั้นเป็นมื้อเที่ยง ทางผมก็มีคุณหมอประสาน ต่างใจ อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ และอีก 2-3 คนรวมทั้งผมด้วย สรุปง่ายๆ เป็นทีมพลังใหม่ เจอกับตัวแทนกิจสังคม

คุณบุญชู โรจนเสถียร ในฐานะที่ผมเคยรู้จักจากสื่อมวลชนมีภาพพจน์ของนายทุนเต็มตัวผู้มุ่งหวังแต่กำไรท่าเดียว

แต่บุญชู โรจนเสถียร ตัวจริงกลับดูเป็นคนที่มีเหตุผลและเป็นคนที่สามารถจะเข้าใจปัญหาขั้นพื้นฐานได้ไม่ยาก

ข้าวมื้อเที่ยงมื้อนั้นพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดว่า คนมีเงินมีทองสามารถจะเปล่งเสียงให้คนไม่มีเงินไม่มีทองรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเต็มท ี่ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยในบางประการแต่ราศีของเงินทองก็จะกลบเกลื่อนความไม่เห็นด้วยให้สลายมลายไปสิ้น

บุญชู โรจนเสถียร พูดถึงการทำหนังสือพิมพ์ด้วยสัจธรรมอันหนึ่งซึ่งยังคงตราตรึงผมมาจนทุกวันนี้ เขาพูดว่า "หนังสือพิมพ์ที่ดีๆ ยังหาได้น้อยมาก สมควรจะทำขึ้นมาสักฉบับ แต่ทำอย่างไรที่จะให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง "

อาหารเที่ยงมื้อนั้นจบลงด้วยความหวังที่ทุกคนคิดว่าบุญชูจะช่วยให้มีหนังสือพิมพ์ดีๆ เกิดขึ้นมาได้สักฉบับหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงแล้วบุญชูไม่ได้สัญญาอะไรทั้งสิ้นเลย

หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ผมได้มีโอกาสพบและรู้จัก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ซึ่งกำลังหาเสียงภายใต้ธงพลังใหม่อยู่ใน กทม. และดร.อาทิตย์เองก็คงจะรู้ว่าผมอยากจะทำหนังสือพิมพ์อย่างมากๆ ก็เลยแนะนำและนัดหมายให้ผมไปพบกับสุธี นพคุณ ที่สำนักงานพีเอสเอ ซึ่งในปีนั้นเป็นเพียงห้องเล็กๆ ไม่กี่ห้องบนชั้น 7 ของตึกเคี่ยนหงวนซึ่งสมัยก่อนเรียกว่าตึกเชลล์

ในช่วงนั้นพีเอสเอกำลังอยู่ในระยะขยายตัวและในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นแทบจะไม่มีใครในวงการธุรกิจจะไม่รู้จักพีเอสเอเลย

ผมได้พบสุธี นพคุณ ซึ่งอยู่ในเสื้อนอกและห้องทำงานที่ค่อนข้างจะหรูหรามาก ยังไม่ทันคุยอะไรกันดีก็มีคนคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาทักทายด้วยท่าทางที่เป็นมิตร พูดแต่ภาษาอังกฤษ คนนั้นคือ พร สิทธิอำนวย หรือพอล

ในความรู้สึกครั้งแรกที่ผมเจอพอล ผมคิดว่าเขาเป็นญี่ปุ่นเพราะหน้าตาการหวีผมที่เสยขึ้นไปและหนวดเรียวประกอบกับแว่นสายตาสั้น ทำให้เขาน่าจะเป็นนายทากายาม่าหรือนายฮิโร่โตเม่ มากกว่าที่จะเป็นพอล พอพอลรู้ว่าผมจะมาขอกู้เงินทำหนังสือพิมพ์เขาหัวเราะก๊ากออกมาแล้วบอกผมว่า "เอาเงินไปถวายวัดดีกว่าเพราะเจ๊งแน่ๆ "

พอลซักถามผมอย่างละเอียดถึงการทำงานและประวัติความเป็นมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดเรื่องของผมเลยแม้แต่น้อย

พอลเป็นคนพูดเร็วและความคิดเปลี่ยนไปแทบจะทุกนาที การพูดคุยของพอลอาจจะดูเหมือนเป็นการพูดคุยธรรมดา แต่โดยเนื้อแท้แล้วกลับเป็นการสัมภาษณ์ไปในตัว

พอลสนุกสนานกับการคุยกับผมมากถึงกับลากผมไปห้องทำงานของเขาแล้วซักต่อ แล้วจู่ๆ หลังจากคงจะพอใจกับคำตอบแล้ว พอลก็พูดสั้นๆ ว่า "มาทำงานกับผมไหม " ผมถามกลับว่า "จะให้ผมทำอะไร ผมต้องการทำหนังสือเพราะผมคิดว่าหนังสือเป็นงานที่ดีมีประโยชน์ต่อสังคมและถ้าทำดีๆ ก็จะเป็นธุรกิจหนึ่งซึ่งสามารถจะเจริญก้าวหน้าไปได้ " พอลบอกผมว่าเขาอยากทำสำนักพิมพ์แต่ไม่ทำหนังสือพิมพ์ เขาจะทำหนังสือพิมพ์ต่อเมื่อสำนักพิมพ์อยู่ตัวแล้วและมีบุคลากรที่เขาไว้ใจได้จริงๆ ถึงจะทำหนังสือพิมพ์ พอผมบอกว่าผมมีสำนักพิมพ์อยู่แล้วทำหนังสือรถยนต์ เขาก็บอกว่าของเขาก็มี Whožs Who in Thailand อยู่แล้วเหมือนกัน เขาให้เอามารวมกันตั้งเป็นบริษัทใหม่แล้วให้หุ้นผม 40%

ผมยอมรับว่าข้อเสนอนี้มันเป็นเรื่องที่เย้ายวนใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนหนุ่มที่พ่อแม่ไม่รวย ไม่มีทุนรอน สำหรับพอลเองมันก็เข้าหลักของเขาในการที่เขาไม่สามารถจะทำงานเองได้ เขาก็จะแบ่งผลประโยชน์ให้คนที่ทำงาน

พอตกลงกันได้ก็มาถึงตอนสำคัญคือเรื่องเงินเดือน

ผมเป็นคนขี้เกรงใจคนเพราะผมไม่รู้จริงๆ ในขณะนั้นว่าในท้องตลาดอัตราเงินเดือนขนาดนั้น มันควรจะเป็นเท่าไร

ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าผมเพิ่งถูก offer เงินเดือนหนึ่งหมื่นสองพันบาทมาหยกๆ เมื่อต้นปีจากจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน

และการเจรจาต่อรองเรื่องเงินเดือนวันนั้นทำให้ผมเรียนรู้จิตวิทยาในการตั้งเงินเดือนอีกมากต่อมาภายหลัง แทนที่จะเสนอเงินเดือนมาให้ผมหรือให้ผมเสนอเงินเดือนออกไป พอลกลับถามคำถามผมหนึ่งคำถามที่บีบบังคับให้ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยายามประมาณตน

พอลถามว่า "คุณต้องใช้เงินเดือนละเท่าไรจึงจะพออยู่ได้? "

ผมจำได้ว่าผมแทบสะอึกกับคำถามนั้นพอลเล่นชกผมอย่างไม่ให้ตั้งตัวเพราะว่า :-

1. ถ้าผมบอกจำนวนสูงๆ ผมก็กลัวว่าเขาจะมองว่าผมฟุ่มเฟือย

2. ถ้าผมบอกต่ำมาก ผมจะต้องเจ็บปวดกับมัน

สรุปแล้วคำถามแบบนี้ ก็มักจะได้คำตอบที่ตัวเลขออกมาค่อนข้างจะให้ฝ่ายนายจ้างได้เปรียบ

ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ผมคงจะต้องถามพอลกลับไปว่า "ในงานขอบข่ายเช่นนี้ บวกกับโครงการที่จะขยายต่อไปคุณคิดว่าคุณค่าผมอยู่ในราคาเท่าไรต่อเดือน " เพื่อจะได้ให้ผมเตรียมรุกบ้าง อันนี้ก็เป็นบทเรียนในการเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์กับนายจ้าง คุณผู้อ่านที่เป็นนักบริหารหนุ่มถ้าถูกทาบทามให้ไปบริหารงานใหญ่ หรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ผมมีข้อแนะนำว่า :-

1. ให้สำรวจราคาตลาดในขณะนั้นว่าราคามาตรฐานควรจะอยู่ที่ไหน

2. ราคามาตรฐานนี้รวมสิทธิพิเศษอะไรบ้าง เช่น รถประจำตำแหน่ง คนขับรถ พักร้อน รักษาพยาบาล หรือโบนัส ฯลฯ ด้วยหรือเปล่า

3. ถ้าคุณไม่พอใจในผลตอบแทนที่เขาเสนอให้ตรงข้อไหนอย่าเก็บเอา ไว้ในใจ พูดออกมาทำความเข้าใจกันให้ชัดแจ้งเป็นข้อๆ ไป ถ้าเขารับไม่ได้และคุณเองก็รับไม่ได้ ก็ให้มันสิ้นสุดกันตรงนั้นดีกว่าจะต่อเนื่องไปแล้วคุณจะมีความรู้สึกเก็บกด

4. วิธีที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการพบกันครึ่งทางแล้วใช้ผลงานเป็นเครื่องวัด เพื่อปรับค่าตอบแทนคุณหลังจากพ้นระยะเวลาหนึ่งไปแล้ว แต่ข้อนี้ก็จำเป็นต้องพูดกันให้แน่ชัดไปก่อน

สรุปแล้วผมกับพอลตกลงกันหลังจากคุยกันในวันนั้น ซึ่งแสดงว่าพอลเป็นคนตัดสินใจเร็วมาก แต่ก็เป็นบางเรื่องเท่านั้น

ในเวลานั้นพอลมีบริษัทสยามเครดิตซึ่งให้ภรรยาคือวนิดาหรือเอด้า สิทธิอำนวย เป็นผู้ดูแลโดยตรง มีพัฒนาเงินทุนที่อื้อฉาวอยู่ทุกวันนี้ให้สุธี นพคุณ ดูแล มีบริษัทแอ๊ดวานซ์โปรดักส์ซึ่งเป็นเทรดดิ้งคัมปะนีโดยสุธี นพคุณ ดูแล และให้สมชาย ถิรธรรม อดีตผู้จัดการฝ่ายโฆษณาธนาคารกรุงเทพ ซึ่งลาออกมาอยู่กับพอลเป็นผู้บริหาร นอกจากนั้นแล้วอาณาจักรของพอลก็กำลังจะขยายอยู่

ในปี 2519 นั้นเป็นปีที่พีเอสเอกำลังจะเข้าไปในเครดิตการพาณิชย์และอยู่ในระหว่างการเจรจารายละเอียดของการ take over กลุ่มบริษัททัวร์ รอแยล นอกจากนั้นก็ยังมีรามาทาวเวอร์ ซึ่งขณะนั้นไฮแอทเป็นผู้บริหารอยู่ในเครือ

ปี 2519 ก็เป็นปีที่พอลดึงตัวผู้บริหารหนุ่มมาจากที่ต่างๆ เพราะเขามีปรัชญาว่า เขาอยากใช้คนหนุ่มเพราะคนหนุ่มมีอนาคต ถึงจะมีโอกาสทำพลาดมากกว่าคนแก่ แต่คนหนุ่มถ้าได้ทำพลาดเสียบ้างแล้วสามารถจดจำบทเรียนที่ผิดพลาดได้ พอลคิดว่าเขาจะมีทีมนักบริหารที่เก่งมากๆ ทีมหนึ่ง

คนหนุ่มที่เขาดึงมาก็มี สุรินทร์ ลิมปานนท์ ซึ่งเคยอยู่กรุงเทพธนาทร มาเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเครดิตการพาณิชย์ ยุทธ ชินสุภัคกุล อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของบริษัทเฟดเดอร์ มาเป็นรองกรรมการผู้จัดการ รูดี อัลวิโซ นักบัญชีนักบริหารชาวฟิลิปปินส์ซึ่งทำงานอยู่เอสจีวี ณ ถลาง มาคุมกลุ่มทัวร์รอแยล ส่วนสุธี นพคุณ เองก็ดึงวัฒนา ลัมพะสาระ มาจากธนาคารไทยพาณิชย์ มาร่วมทำพัฒนาเงินทุนแล้วเตรียมสร้างบริษัทบ้านและที่ดินไทยขึ้นมา

กลางปี 2519 ผมก็เป็นคนหนุ่มในหลายคนหนุ่มที่กำลังเดินเข้าไปสัมผัสกับกลุ่มธุรกิจซึ่งใน 3 ปีขยายฐานสินทรัพย์เพียง 6-700 ล้านบาทมาเป็น 3,000 กว่าล้านบาทในเวลาอันสั้น

คนหนุ่มพวกนี้เป็นคนหนุ่มที่ไม่ได้มีสกุลรุนชาตินายทุนใหญ่ที่เพียงแต่อาศัยนามสกุลตัวเองก็สามารถจะเป็นผู้บริหารได้

แต่คนหนุ่มพวกนี้ได้ถูกให้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง บางคนก็ค่อนข้างพร้อมเพราะมีการฝึกในด้านนี้มาก่อน บางคนเช่นผมมีพื้นฐานธุรกิจน้อยอย่างมากๆ

พวกเราเหมือนถูกจับโยนเข้าไปในกรงเสือเพื่อทดสอบความแข็งแกร่ง

แต่ความท้าทายในงานทำให้คนหนุ่มเหล่านี้ลืมนึกถึงความกลัวไป ทุกคนมีแต่ความกระเหี้ยนกระหือที่จะเข้าไปในสนามรบโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าในปี 2519 นั้นเรามีกระสุนปืนอยู่จำกัดมาก แต่ทุกคนก็พร้อม หมายเหตุ จากนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 4 เดือนพฤศจิกายน 2526

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us