|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ เมษายน 2550
|
|
การปรับทิศทางการทำโครงการที่อยู่อาศัยบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องหยุดดูและพิจารณาว่าจะเดินไปทางไหนต่อ เพราะรายใหญ่อย่างแลนด์ฯ ประกาศตัวชัดเจนแล้วว่า โครงการในปีนี้ของบริษัทจะเน้นไปที่บ้านเดี่ยวถึง 90% ส่วนที่เหลือจะเป็นทาวน์เฮาส์ 5% และคอนโดมิเนียม 5%
กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อดิศร ธนนันท์นราพูล ให้เหตุผลว่า ในปีนี้ที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นและขายได้ จะต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้ซื้ออย่างแท้จริง และอัตราการขยายตัวจะเพิ่มขึ้นจากปี 2549 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาดว่าไม่น่าจะเกิน 10%
แนวโน้มการชะลอตัวของการขยายบ้าน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงหลัง โดยแลนด์ฯ เองยอดขายในปี 2549 ที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 17,620 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 5,125 ล้านบาท หรือประมาณ 22.5%
"ยอดรับรู้รายได้ที่อ่อนตัวลงมาจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ลดลงกว่า 2,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ 418 ล้านบาท รวมกับอุปสงค์ในตลาดที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง"
เขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุผลในการปรับทิศทางของบริษัทใหม่ในปีนี้
แน่นอนว่า เมื่อยอดขายลดลงแบบนี้ ก็ส่งผลต่อการทำกำไรของบริษัทเช่นกัน ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรอยู่ที่ 3,247 ล้านบาท ลดลงถึง 36.6% ซึ่งลดลงมากกว่าอัตราการลดลงของยอดขาย เหตุผลสั้นๆ เข้าใจง่ายก็คือ กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลง จากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาขายบ้าน ไม่สามารถปรับขึ้นได้ และยังต้องเพิ่มงบประมาณโฆษณา ส่งเสริมการขายเข้าไปอีก กำไรเลยลดต่ำมาถึงระดับนี้
หากบริษัทใหญ่อย่างแลนด์ฯ บอกว่ากำไรขั้นต้นลดลง บริษัทอื่นๆ จะมีกำไรเหลือแค่ไหน
การกลับมาสู่ตลาดบ้านเดี่ยวของแลนด์ฯ อดิศรได้นำตัวเลขของธนาคารอาคารสงเคราะห์มาให้พิจารณาด้วยว่า บ้านจดทะเบียนในช่วง 11 เดือนของปี 2549 บ้านเดี่ยวมีอัตราลดลงถึง 26.4% ทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 28% ส่วนคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นถึง 179.6%
ความหมายของตัวเลขชุดนี้แสดงให้เห็นว่า สินค้าประเภทบ้านเดี่ยวค่อยๆ ลดน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการทำบ้านเดี่ยวน้อยลง หรือคนซื้อบ้านเดี่ยวน้อยลง เพราะราคาแพงเกินไป แต่ในความหมายของแลนด์ฯ น่าจะเป็นอย่างแรกคือ สินค้าบ้านเดี่ยว เริ่มลดน้อยลง ส่วนคอนโดมิเนียม กลายเป็นสินค้าที่มีมากเกินไป แลนด์ฯ ก็น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วในการบุกตลาดคอนโดมิเนียม
เพราะก่อนหน้านี้ แลนด์ฯ บุกทำตลาดคอนโดมิเนียมอย่างหนัก จนทำให้คู่แข่งรายใหญ่อย่างแสนสิริ ต้องทิ้งคอนโดมิเนียม หันกลับมาทำบ้านเดี่ยวแทน
แลนด์ฯ กำลังกลับไปสู่ตลาดที่ตัวเองครองอยู่ และเป็นจุดแข็งของบริษัท
แฟนพันธุ์แท้ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ต้องการบ้านเดี่ยวยังมีอยู่มาก
แต่บริษัทก็ไม่ได้หวังว่ากลุ่มที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จะมีแค่กลุ่มคนทำงานระดับบน หรือคนสูงอายุ แลนด์ฯ พยายามมองกลุ่มคนทำงานระดับล่างลงมา จึงเป็นที่มาของภาพยนตร์ โฆษณาชุดล่าสุดที่เจาะกลุ่มคนเริ่มต้นทำงานภายใต้แนวคิด "บ้านแลนด์ฯ ไม่แพงอย่างที่คิด" รวมไปถึง "มีบ้านแลนด์ฯ ได้ก่อนอายุ 35"
บริษัทต้องการขยายกลุ่มลุกค้าให้กว้างขึ้นและดูทันสมัยขึ้น
แต่แนวคิดนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็คงต้องรอดูผลงานในปีนี้ เพราะบางคนมองโฆษณาของแลนด์ฯ แบบขำขำว่า
"มีบ้านแลนด์ฯ ได้ก่อนอายุ 35 พออายุ 36 ก็กลายเป็น NPL"
|
|
|
|
|