Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
บทความจาก อ่านวิกฤตเพื่อโอกาสใหม่. หนังสือเล่มโครงการ Manager Classic ตุลาคม 2544
6 ข้อผิดพลาด บริหารรามาทาวเวอร์             
 

   
related stories

6 ข้อผิดพลาด ในการบริหารรามาทาวเวอร์

   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
รามาทาวเวอร์
สุธี นพคุณ
Hotels & Lodgings
Financing




บริษัทรามาทาวเวอร์ถือว่าเป็นตัวอย่างปัญหาความล้มเหลวของบริษัทมหาชนรุ่นใหม่บริษัทแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากเข้า จดทะเบียนในปี 2518 เพียง 3 ปีตั้งแต่ปี 2521-2523 หุ้นรามา(RAMA) ถือว่าเป็นหุ้นโดดเด่นที่ปันผลกำไรได้ถึงหุ้นละ 5 บาท แต่ต่อมาปี 2524-2525 รามาทาวเวอร์ ประสบปัญหาล้มละลาย ต้องขายทรัพย์สินคือ โรงแรมรามา บนถนน สีลม ให้กับ สุระ จันทร์ศรีชวาลา และขายตึกดำ"อินเตอร์ไลฟ์"ให้กับสุพจน์ เดชสกุลธร เพื่อชดใช้หนี้

ในปี 2526 การสิ้นสุดอาณาจักรตึกดำของ สุธี นพคุณ เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับจอร์จ ตัน ประธานกรรมการของบริษัทแคร์เรียนในฮ่องกงซึ่งถูกข้อหาตกแต่งบัญชี แต่ปัญหาของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.)พัฒนาเงินทุน คือ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง โดยไม่รู้ว่าเงินกว่า 1,400 ล้าน ซึ่งประกอบด้วย เงินจากธนาคาร เจ้าหนี้ 220 ล้านบาท กลุ่มสถาบันการเงิน 47แห่งอีก 540 ล้านบาท และเงินฝากประชาชนอีก 680 ล้านบาทหายไปไหน?

ปรากฏว่าเงินทั้งก้อนถูกปล่อยกู้ให้กับบริษัทในเครือเกือบ 1,000 ล้านบาท!!

การบริหารงานที่ผิดพลาดของสุธีและหลงเชื่อคำผู้ใหญ่บางคนเกินไป ทำให้ธุรกิจตึกดำล้มละลาย หลังจากที่สะสมปัญหาไว้สองปีก่อนวิกฤต

ประวัติเดิมพัฒนาเงินทุนเป็นบริษัทเงินทุนเฟเบอร์เมอร์ลิน ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มจางหมิงเทียน เจ้าของInternational Trust & Finance(หรือบริษัท ITF) ที่ร่วมกับกลุ่ม Haw Par ซึ่งมีจิม เรเปอร์ ลูกน้องจิม สเลเตอร์ อาชญากรเศรษฐกิจที่ถูกจำคุกในสิงคโปร์ร่วมด้วย

เมื่อจางหมิงเทียนขายทิ้งพัฒนาเงินทุน ธุรกิจได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของพร สิทธิอำนวยและสุธี นพคุณ ทำให้บริษัทในเครือพีเอสเอมีฐานเงินทุนอยู่ 2 แห่งคือที่ บริษัทเครดิตการพาณิชย์ (CCC) ซึ่งเบิกใช้ในอำนาจของพร ส่วนที่พัฒนาเงินทุน (EDP)เบิกภายใต้อำนาจอนุมัติของสุธี

สุธีได้ใช้บริษัทพัฒนาเงินทุนเป็นฐานการเงินตั้งแต่ธันวาคมปี2523 เพราะสุธีตั้งบริษัทใหม่หลายแห่ง ที่ขยายเพิ่มจากกิจการโรงแรมรามาทาวเวอร์ เช่น บริษัททรัพยากรรามา บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารรามา บริษัทรามาทรานสปอร์ต บริษัทนานาวิศวกรรมที่รับเหมาสร้างโรงแรม บริษัทรามาโอคอนเนอร์ที่เดิมตั้งร่วมกับบริษัทก่อสร้างต่างประเทศ บริษัทเอสเอ็น อินเตอร์ เทรด(เอสเอ็นคือ Suti Nopakun) โดยการผ่านเงินกู้กับ 3-4 บริษัท เช่นบริษัท เซ็นจูเรียน บริษัทไว้ส์เค้านท์อินเตอร์เนชั่นแนลและบริษัท เอสเอ็นอินเตอร์เทรดด้วย

เงินของรามาทาวเวอร์ถูกนำไปใช้ในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินถึง 600 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนที่พัฒนาเงินทุนต้องรองรับเมื่อแยกกิจการออกจากกลุ่มรามาฯในปี 2525

สองปีก่อนล้มละลาย กลุ่มรามาฯต้องประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เพราะบริษัทใหม่ในเครือไม่มีกำไร "จิม สเต้นท์"ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินคนใหม่ที่แทนสุชาดา อิทธิจารุกุล ได้ขายบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักของรามาฯออกไป ซึ่งหมายถึงว่าสุธีโอนหนี้ไปให้รามาทาวเวอร์ ส่วนสินทรัพย์ไปอยู่กับบริษัทใหม่ที่สุธีตั้งขึ้นมารองรับ เพื่อดำเนินธุรกิจเอาเงินไปใช้คืนเงินให้รามาฯ และนี่คือที่มาของปัญหาพัฒนาเงินทุน

ตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2526 หายนะได้คืบคลานสู่ตึกดำ โดยเหตุของการบริหารงานผิดพลาดของพัฒนาเงินทุนที่ปล่อยกู้ธุรกิจในเครือสุธี เกิดการโจมตีซึ่งกันและกันในใบปลิว และเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอนงค์ สุนทรเกียรติที่เก่งหาเงินฝากแต่ปิดตัวเองยามวิกฤต กับมืออาชีพอย่างสุรินทร์ เจริญชนาพร อดีตผู้จัดการสมาคมเงินทุนที่ทำงานได้เพียง 3 เดือน ก่อนวิกฤตตึกดำเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2526

ธุรกิจในเครือของสุธีที่เป็นหัวใจหลักถูกบังคับขายใช้หนี้ เช่น โรงแรมรามาทาวเวอร์ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับสุระ จันทร์ศรีชวาลาซึ่งเมื่อต้นปี 2525 เคยให้สุธีกู้แก้วิกฤตสภาพคล่อง100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทอินเตอร์ไลฟ์ตกเป็นของสุพจน์ เดชสกุลธร

ส่วนผู้บริหารระดับสูงที่ตึกดำอย่างวัฒนา ลัมพะสาระและจิตตเกษม แสงสิงแก้ว ซึ่งเคยมีบทบาทกู้เงินออฟเชอร์ 10 ล้านเหรียญโดยมีสินเอเซียค้ำประกัน ก็ลาออกไปทำงานธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งมีบุญชู โรจนเสถียรเป็นประธานกรรมการธนาคารฯ

สุธีสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ ตึกดำเหลือเพียงแต่บงล.พัฒนาเงินทุนที่ขาดสภาพคล่องรุนแรง จนล้มละลายในเดือนตุลาคม และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บ้านและที่ดินไทยซึ่งต่อมาถูกแบงก์ชาตินำไปควบรวมกับเจริญกรุงไฟแนนซ์ และสินเพิ่มสุขแล้วเปลี่ยนฐานะเป็น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บ้านและที่ดินไทยในที่สุด

โศกนาฏกรรมที่ตึกดำวันที่ 18 ตุลาคม 2526 จึงจบลงด้วยน้ำตาของสุธี นพคุณกับหนี้สินมูลค่า 2,000 ล้านบาท คือรามาทาวเวอร์พังไป 600 ล้าน พัฒนาเงินทุนอีก 1,400 ล้าน นับว่า เป็นน้ำตาราคาแพงที่สุดในโลก!!
บทสรุป 6 ข้อผิดพลาดในการบริหารรามาทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม โรงแรมที่ต้องพึ่งรายได้จากตลาดต่างประเทศประกอบด้วย

' หนึ่ง-การเลิกสัญญาบริหารกับเครือไฮแอท

เครือไฮแอทมีสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมรามาตั้งแต่ปี 2515 ต่อจาก เครือฮิลตัน ในการบริหารช่วงต้นเครือไฮแอทได้เปรียบมากเกินไป จนกระทั่งปี 2519-20 กลุ่มพีเอสเอ โดย พร สิทธิอำนวยและอึ้ง วาย ชอย ผู้ช่วยพร ได้ขอแก้ไขสัญญาจนเป็นธรรมกับเจ้าของโรงแรม

เมื่อกลุ่มพีเอสเอเกิดแตกแยกกันในปี 2522 สุธี นพคุณ ในฐานะเป็นประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัทรามาทาวเวอร์ ไม่ขอต่อสัญญากับเครือไฮแอทต่อไป เพราะครบ10 ปีของสัญญาว่าจ้างในปี 2524

เหตุผลที่สุธีอ้างเหตุยุติความสัมพันธ์กับไฮแอทครั้งนั้น เพราะว่าเครือ ไฮแอทเสนอให้ใช้งบปรับปรุงโฉมใหม่โรงแรมระดับสี่ดาวถึง 70 ล้านบาท แต่สุธีเห็นว่ามากเกินควร และเสนอให้เครือโรงแรมรามาดาเข้าบริหารแทน โดยใช้เงิน 30 กว่าล้านปรับปรุง

การจากไปของเครือไฮแอทสร้างความสูญเสียแก่รามาทาวเวอร์มาก เพราะถ้าเปรียบเทียบศักยภาพการตลาดของเครือไฮแอทกับเครือรามาดาแล้ว ไฮแอท มีเครือข่ายโรงแรมระดับสี่ดาวที่แข็งแรงและกว้างไกลทั่วโลก ในขณะที่ตำแหน่งของเครือรามาดาเป็นเพียงแค่กลุ่มโรงเตี้ยม(INN)ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาและมือใหม่กว่าในตลาดต่างประเทศ

ส่วนงบปรับปรุง70 ล้านนั้น ไฮแอทเป็นฝ่ายถูกต้อง เพราะเมื่อทบทวนจะพบว่า สภาพโรงแรมที่เคยเป็นระดับสี่ดาวที่มีดุสิตธานีเป็นคู่แข่งบนถนนสีลม ได้ตกต่ำทรุดโทรมไปอยู่ระดับเดียวกับโรงแรมนารายณ์ ดังนั้นเมื่อกลุ่มสุระเข้ามาเทคโอเวอร์แล้ว ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 150 ล้านปรับปรุง ใหม่อีกเพื่อให้แข่งขันในตลาดได้

' สอง-ไม่ได้หยุดคิดว่า ตัวเองทำธุรกิจอะไรอยู่อย่างแท้จริง?

สุธีได้ขยายการลงทุนครบวงจรในธุรกิจบริการของโรงแรม เช่นบริษัท บริการรถเช่า"เอวิส" บริษัท"รามาลอนดรี้"บริการซักรีด และที่สำคัญได้ตั้งเครือข่ายบริษัท "ข้าวแกงรามา" ซึ่งเคยเป็นแผนกอาหารไทยของโรงแรมรามาฯ ให้กลายเป็นธุรกิจร้านข้าวแกงติดแอร์ จนหนังสือพิมพ์แซวสุธีว่าเป็นถึงประธานบริษัทจดทะเบียน 800 กว่าล้านบาท แต่มาเสิร์ฟข้าวแกงจานละสิบกว่าบาท

นอกจากนี้สุธียังตั้งบริษัท "รามาโอคอนเนอร์" รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการก่อสร้างบริษัทในกลุ่มรามาฯ รวมทั้งยังถือหุ้นในบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย อินเตอร์ไลฟ์ และถือหุ้นใหญ่ใน บงล.พัฒนาเงินทุน และลงทุนในบริษัท ทัวร์รอแยลแอนด์คาร์โก้ด้วย

ขณะที่สินทรัพย์มี 969,407,000 บาท ซึ่งอัตราส่วนนี้ รามาทาวเวอร์สามารถทำคอมเพล็กซ์ได้ไม่ยากเย็นตั้งแต่ปี 2524 แต่กลับขยายไปสู่ธุรกิจอื่นมากมายจนยากแก่การควบคุม

' สาม-การใช้แหล่งเงินทุนที่ต้องพึ่งบารมีคนอื่น

ปลายปี 2525 เมื่อบุญชู โรจนเสถียรได้พ้นจากธนาคารกรุงเทพ แม้จะมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่สุดท้ายไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ที่สุธีจะหวังพึ่งขอความช่วยเหลือได้ขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อรามาทาวเวอร์ต้องหาแบงก์มาค้ำประกันเงินกู้จากแบงก์ต่างประเทศชื่อ "ดรอกเกอร์" ประมาณ 520 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าประมาณการที่ตั้งไว้เพียง 420 ล้าน เพื่อสร้างโรงแรมรามาการ์เด้นท์ ริมถนนวิภาวดีรังสิต แทนที่จะได้แบงก์กรุงเทพเป็นผู้ค้ำประกัน กลับกลายเป็นแบงก์กรุงไทย ซึ่งมี ตามใจ ขำภโตเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ขณะนั้น ตามใจเคยเป็นรมว.คลังปี2518 ภายใต้การผลักดันของบุญชู โรจนเสถียรและมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่ม"สามสุ"(สุธี-สุระ-สุพจน์)

แต่ในที่สุดเมื่อกลุ่มรามาทาวเวอร์ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักในปลายปี 2525 และ 2526 แบงก์กรุงเทพได้ตัดเยื่อใยกับกลุ่มอย่างสิ้นเชิง

สรุปได้ว่า ปัญหาการบริหารของกลุ่มรามาทาวเวอร์ในอดีตนั้น ไม่ได้พิจารณาโดยใช้ความสามารถและความเป็นไปได้ของโครงการเป็นหลัก

' สี่-บุคลากรไม่มีคุณภาพและการขาดความเข้าใจแท้จริงในลักษณะงาน

เมื่อรามาทาวเวอร์แตกไลน์ขยายธุรกิจไปนับสิบบริษัทในปี 2522 ไม่ได้ มีการวางแผนด้านบุคลากรไว้ล่วงหน้า การจัดหาและซื้อตัวผู้บริหารในระยะนั้นเป็นไปอย่างรีบเร่ง

ผู้บริหารระดับกลางคนใหม่ขาดการฝึกอบรมและขาดความเข้าใจใน ลักษณะงานของตัวเองอย่างแท้จริง แต่ได้รับผลตอบแทนสูงและมีรถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ มีการโยกย้ายสถานที่จากตึกเก่าที่โรงแรมรามา ทาวเวอร์ มาอยู่ที่ตึกดำที่สง่าภูมิฐานแทน

บรรยากาศนี้ได้เอื้ออำนวยให้ผู้บริหารระดับกลาง เกิดวัฒนธรรม เหยียบกันตายเพื่อเลื่อนตำแหน่งอภิสิทธิชน แทนที่จะสร้างให้มีการทำงานแข่งขันท้าทายและพอใจในงานที่ทำอยู่ จนได้รับรางวัลเป็นผลงานที่ทำสำเร็จ
น่าสังเกตว่าในปี 2522-24 ปริมาณการเข้า-ออกของผู้บริหารบางระดับมีความถี่มากเป็นพิเศษ

' ห้า-ความแตกแยกภายในของผู้บริหาร

ปัญหาใหญ่ของรามาทาวเวอร์ในช่วงปี 2525 ถึงปี 2526 คือความขัดแย้งรุนแรงมากระหว่าง ผู้บริหารเครือบริษัทรามาทาวเวอร์กับผู้คุมถุงเงินอย่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ พัฒนาเงินทุน บริษัท อินเตอร์ไลฟ์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บ้านและที่ดินไทย ถึงกับแบ่งพวกตีกันเป็นก๊กเป็นฝ่าย จนเป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานระดับล่างว่าใครไม่ถูกกับใคร

ต้นตอของปัญหาขัดแย้งนี้ เริ่มจากสุธีจงใจจะให้บริษัทรามาทาวเวอร์ถือหุ้นในสถาบันการเงิน เช่น บริษัท อินเตอร์ไลฟ์ บงล.พัฒนาเงินทุนและบค.บ้านและที่ดินไทย เพื่อผันเงินฝากประชาชนมาปล่อยกู้ให้กับเครือบริษัทตัวเองอย่างไม่ผิดกฎหมาย แต่ก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนของปัญหาการ บริหารการเงินของกลุ่ม
นี่คือข้อผิดพลาดที่สุธีไม่เตรียมแผนเตรียมงบการลงทุนและหมุนเวียนไว้ให้พร้อมก่อนขยายธุรกิจใหม่แต่ละโครงการ

เพราะธุรกิจใหม่ต้องใช้เวลาและเงินหมุนเวียนมากพอ กว่าจะยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนั้นปี 2524/25 เศรษฐกิจไทยตกต่ำมาก ทำให้บริษัทในกลุ่ม ส่วนใหญ่ขาดทุน และถูกผู้บริหารฝ่ายคุมเงินเช่น อินเตอร์ไลฟ์และพัฒนาเงินทุนมองว่าไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าเบิกเงินได้ยากเย็น จนทำให้ แผนปฏิบัติการล่าช้าเสียหายไม่ได้ผล

ปัญหานี้รุนแรงถึงขั้นเลื่อยเก้าอี้กัน กลายเป็นความแตกแยกที่รอเพียงมี เข็มเข้ามาตอกลิ่มเพื่อให้หักเท่านั้นเอง
ความจริง ความขัดแย้งในการบริหารเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น แต่ความขัดแย้งไม่ใช่การแตกสามัคคีที่ทำลาย อาณาจักรได้

' หก-ความไม่ใส่ใจในความรู้รอบตัว
สิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่สุธีขาดไป คือวิสัยทัศน์ที่หยั่งรอบรู้ การเมือง สังคมวิทยา เศรษฐกิจโลก ตลอดจนประวัติศาสตร์บางช่วงนอกเหนือจากความรู้ในธุรกิจตัวเอง

ถ้าผู้บริหารรามาทาวเวอร์จะสนใจเรื่องราวพวกนี้ ก็น่าจะเห็นสัญญาน เตือนภัย ตั้งแต่ปี 2522แล้วว่า ควรจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ตัวอย่างเช่น

ด้านโรงแรม ตั้งแต่ปี 2522 บีโอไอหรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติโรงแรมใหญ่ 4 แห่ง ซึ่งจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญ

วิธีการที่ควรจะทำคือปรับปรุงโรงแรมตัวเองให้ได้มาตรฐานระดับสี่ดาว เพื่อรับสถานการณ์แข่งขันในปี 2526
อีกประการหนึ่งที่ควรจะทำคือ ไม่ควรเลิกสัญญากับเครือไฮแอท แม้จะไม่ชอบหน้า แต่อย่างน้อยศักยภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งของไฮแอทก็ช่วยธุรกิจโรงแรมได้มาก

นอกจากนี้ โครงการสร้างโรงแรมรามาการ์เด้นท์ควรยุติลง เพราะมีแต่จะเสีย เนื่องจากเสียเปรีย บคู่แข่งอย่างโรงแรมแอร์พอร์ตที่มีการบินไทยถือหุ้นอยู่ และกว่าจะคืนทุนที่ลงไปนับร้อยๆล้านก็กินเวลานานถึง 10 ปี ซึ่งจะเพิ่มภาระหนี้สินระยะยาว

ด้านการเงิน จะเห็นว่า กำไรของรามาทาวเวอร์ในช่วงปี 2521/22 ส่วนหนึ่งมาจากcapital gain ที่ได้จากราคาหุ้นที่พุ่งสูงมาก ขณะที่ตัวเลขผลประกอบการแท้จริงเพิ่งจะมีกำไรปรากฎ ในปี 2523 ยิ่งถ้ามีการปรับปรุงโรงแรม ให้ดีจะยิ่งทำให้กำไรเพิ่มขึ้นจนคืนเงินกู้ยืมใน 3 ปีได้ ซึ่งเวลานั้น โรงแรมรามา จะได้เปรียบคู่แข่ง เพราะไม่มีภาระหนี้สิน

แต่ในปี 2523 แนวโน้มเศรษฐกิจฝืดและกำลังซื้อกับการลงทุนจะตกต่ำมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ กำลังพุ่งพรวด อัตราส่วนการลงทุนเริ่มน้อยลง อุตสาหกรรมก่อสร้างใกล้พังพินาศเพราะเงินกู้ ภาครัฐบาลตัดค่าใช้จ่ายและรัดเข็มขัด แต่สุธียังคงขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยไม่นึกถึงผลกระทบของเศรษฐกิจตกต่ำนี้

ด้านการเมือง แม้ว่าบารมีทางการเงินและการเมืองของบุญชู โรจนเสถียร ได้เกื้อกูลอุปถัมภ์กลุ่มรามาทาวเวอร์ได้ แต่หลังจากบุญชูตกต่ำทางการเมือง ไม่ได้รับตำแหน่งอะไรในรัฐบาลเปรม 3 เพราะนโยบายผันเงินของบุญชูตรงข้ามกับนโยบายรัดเข็มขัดของสมหมาย ฮุนตระกูล

ความแตกต่างของนโยบายทั้งสองนี้ น่าจะทำให้ผู้บริหารรามาทาวเวอร์ ได้คิดว่า จะต้องมีแผนธุรกิจที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยปี 2523/24 ที่ปรับ ตัวลงในทิศทางใด

ดังนั้นแนวทางแก้ไขที่"ผู้จัดการ"ได้เสนอขณะนั้นว่าน่าจะเป็น

1.ไม่ควรเลิกสัญญากับไฮแอท ควรจะปรับปรุงโรงแรมตามที่ไฮแอทเสนอมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ไฮแอทจะมอบให้

2.หยุดการขยายงานทุกประเภท จนกว่าโรงแรมจะปรับปรุงเสร็จ

3.ควรจะทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่เพื่อพัฒนาที่ดินที่ว่างเปล่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ โดยถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว แต่ต้องจำกัดการลงทุน

4.ไม่ควรเอาบริษัท รามาทาวเวอร์ เข้าไปเกี่ยวพันกับบริษัทในเครือ เพื่อจะได้เห็นการแบ่งสายงานและความรับผิดชอบได้เด่นชัด และไม่ก้าวก่ายหน้าที่กันและกัน

กรณีศึกษาของรามาทาวเวอร์ ถือว่าเป็นบริษัทมหาชนบริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประสบปัญหาใหญ่มาก จนทำให้"สุธี นพคุณ"ต้องสิ้นชื่อในวงการธุรกิจ เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดในอดีต แต่จนถึงปัจจุบันคนแบบสุธีก็ยังมีอยู่ !!

หมายเหตุ จากเรื่อง"6 ข้อผิดพลาด ในการบริหารของรามาทาวเวอร์" ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 1 เดือนสิงหาคม 2526
จากเรื่อง"พัฒนาเงินทุน โศกนาฎกรรมฉากสุดท้ายของตึกดำ"ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2526

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us