Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน18 มีนาคม 2546
ดันไทยศูนย์กลางภาพยนตร์ สั่งธพว.ตั้งกองทุนให้กู้ดบ.ตำ             
 


   
search resources

Films




"สมศักดิ์" เดินเครื่องผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ สั่งบีโอไอพิจารณาลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์การถ่ายทำ หวังดึงหนังฮอลลีวูดเข้ามาถ่ายทำในไทย พร้อมสั่งธพว.ดูแลเรื่องการจัดตั้งกอง ทุนเพื่อให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการเพื่อเอื้อให้ธุรกิจภาพยนต์ไทยโกยรายได้ส่งออก ระบุธุรกิจภาพยนตร์ไทยมีโอกาสสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 5,630 ล้านบาท หลังล่าสุดปี 2545 ทำรายได้แล้ว 2,000 ล้านบาท

วานนี้ (17มี.ค.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรมได้หารือร่วมกับสำนัก งานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงไทย สมาพันธ์ภาพยนตร์ไทย บริษัท GMM Grammy จำกัด (มหาชน) บริษัท กันตนากรุ๊ป จำกัด บริษัท ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น จำกัด

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ได้หา รือถึงมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้สร้างภาพยนตร์ไทย ส่งเสริมการส่งออกภาพยนตร์ไทยไปต่างประเทศ รวมไปถึงการส่งเสริมให้ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างประเทศมาถ่ายทำในประเทศไทย ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นหากมีการสนับสนุนธุรกิจภาพยนตร์จะทำรายได้เข้าประเทศปีละประมาณ 5,630 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากผู้สร้างภาพยนตร์ไทย แยกเป็นจากโรงภาพยนตร์ชั้น1 (ส่วนแบ่ง 50%) 350 ล้านบาทจากโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด 150 ล้านบาท อื่นๆ เช่น ขายลิขสิทธิ์ VCD 105 ล้านบาท การฉายภาพยนตร์ในไทย 700 ล้านบาท จาก การฉายภาพยนตร์ต่างประเทศ 2,300 ล้านบาท การส่งออก 25 ล้านบาท การถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศในไทย 1,000 ล้านบาท การบริการห้องแล็บภาพยนตร์ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี2545 ที่ผ่านมาธุรกิจกิจภาพยนตร์ ทำรายได้ถึง 2,000 ล้านบาทจากอดีตที่ทำรายได้ประมาณ 500 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งจะเห็นว่าโอกาสที่ไทยจะผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการทำรายได้ให้กับประเทศไทยมีมาก อีกทั้งธุรกิจดังกล่าวยังเอื้อให้กับการท่องเที่ยวอีกด้วย

"จะมีการหารือในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ ของบีโอไอว่าจะปรับอย่างไรให้เอื้อต่อการลงทุนของไทยและของต่างชาติที่จะเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย ซึ่งมีการพูดถึงการลดภาษีอากรเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องนำเข้า โดยเรื่องของภาษีจะมีการประสานไปยังคลังต่อไป ขณะเดียวกันยังให้มีมาตรการสนับสนุนด้านการเงิน ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเฉพาะเพื่อให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยได้มอบให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดย่อม (ธพว.) รับไปดูแล"นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบภาษีไม่ เอื้อต่อการลงทุนธุรกิจภาพยนตร์ในไทย เนื่องจากภาษีค่อนข้างสูง เช่น อุตสาหกรรมขั้นเตรียมการ (Pre Production) ภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทสร้างภาพยนตร์ 30% ขั้นผลิต (Production) อากรนำเข้าวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ 20% ภาษีเงินได้บุคคล สำหรับนักแสดง โดยเงินได้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 300,000 บาทเสีย 60% มากกว่า 300,000 บาทเสีย 40% ภาษีเงินได้นิติบุคคล โรงถ่าย 30% และขั้นตัดต่อ (Post Production) อากรนำเข้าอุปกรณ์ เครื่องมือในห้องแล็บ 20% อากรนำเข้าสินค้าต้นแบบ 20% ภาษีเงินได้นิติ บุคคล 30%

สำหรับมาตรการสนับสนุนเพื่อให้ต่างชาติมาถ่ายทำภาพยนตร์และการใช้บริการที่เกี่ยวเนื่อง ในไทย เอกชนได้เสนอให้มีการจัดตั้ง One Stop Service ที่แท้จริงในการขออนุญาตดำเนินการจากทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ใช้มาตรการบีโอไอในการอำนวยความสะดวกด้านการขอวีซ่าหรือใบอนุญาตทำงาน รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากร โดยจัดให้มีหลักสูตรเฉพาะหรือสถาบัน เฉพาะทาง ซึ่งมิใช่เฉพาะด้านการแสดง แต่ให้ครอบคลุมถึงบริการที่เกี่ยวข้อง

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ได้มีการวิเคราะห์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยพบว่า มีจุดแข็งที่ไทยมีธุรกิจครบวงจรอยู่แล้วตั้งแต่ Pre จนถึง Post production มีบุคคลากรที่มีทักษะฮอลลีวูดมี แนวโน้มถ่ายทำภาพยนตร์นอกสหรัฐฯเพื่อลด ค่าใช้จ่าย จุดอ่อน คืออัตราอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์สูง มาตรการสนับสนุนด้านการเงินไม่ได้ โอกาสโรงภาพยนตร์ไทยพัฒนาไปสู่มาตรฐานระดับสูงได้และเพื่อนบ้านมีวัตนธรรมใกล้เคียงกับไทยนิยมละครไทยทำให้มีโอกาสการส่งออก อุปสรรค คือ การแข่งขันจากภาพยนตร์เกาหลีใต้เพิ่มเติมจากการแข่งขันจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดและฮ่องกง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us