" แปซิฟิกไพพ์" ทุ่ม500ล้านบาทขยายกำลังผลิตท่อเหล็ก16นิ้ว เพิ่ม 50,000 ตัน ส่งผลกำลังผลิตรวมเพิ่มเป็น 3แสนตันต่อปี หวังรุกตลาดโครงสร้างอาคาร-สถาปัตยกรรมใหม่ คาดปีแรกตลาดใหม่ดันยอดขาย 30,000ตัน พร้อมเดินหน้าขยายตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ตั้งเป้าปี50ยอดขาย4,000ล้านบาทเติบโตจากปี49 กว่า 25%
นายสมชัย เลขะพจน์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาทในการเพิ่มกำลังการผลิตท่อเหล็ก ขนาด 16 นิ้ว ซึ่งเป็นท่อเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมที่บริษัทมีการผลิตอยู่ โดยเดิมทีบริษัทผลิตท่อเหล็กขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 14 นิ้ว โดยท่อเหล็กขนาดใหม่ที่บริษัทมีการเพิ่มกำลังการผลิตนี้ จะเป็นการเปิดตลาดโครงสร้างอาคารงานสถาปัตยกรรมในรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ที่เริ่มเข้ามาในประเทศ เพื่อเข้ามาทดแทนตลาดโครงการที่ใช้คอนกรีตในการก่อสร้าง
ทั้งนี้ แนวโน้มการใช้ท่อเหล็กในงานโครงสร้างที่คาดว่าจะขยายเข้ามาทดแทนคอนกรีตได้เนื่องจากความยืดหยุ่นของโครงสร้างเหล็กจะมีสูงกว่าคอนกรีตและงานโครงสร้างไม้ เหมาะสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องการออกแบบที่มีความโครงงอ เพราะสามารถดัดโค้งให้เป็นรูปแบบต่างๆ ได้ตามความต้องการ
โดยจำนวนกำลังการผลิตของท่อเหล็กที่เพิ่มขึ้นมานใหม่ มีจำนวน 50,000 ตันต่อปี ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3แสนตันต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตที่บริษัทดำเนินการอยู่ที่ 70-80% ของกำลังการผลิตรวม
สำหรับตลาดโครงสร้างเหล็กและสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่บริษัทพยายยามรุกเข้าไปนั้น เป็นตลาดที่มีขนาดเล็กอยู่ เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ คาดว่าในปีนี้จะมีความต้องการใช้ในตลาดอยู่ประมาณ 30,000 ตันต่อปี
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทมีการเพิ่มกลังการผลิตเพิ่มขึ้นแล้วบริษัทยังมีแผนในการขยายตลาดเข้าไปในตลาดต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้อีก 5% จากปัจจุบันโครงสร้างรายได้จากตลาดต่างจังหวัดมีสัดส่วนที่ 20% ที่เหลือ 80% อยู่ในกรุงเทพฯ
นายสมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการใช้เหล็กในประเทศต่อปีอยู่ที่ 3-4 ล้านตัน บริษัทมีส่วนแบ่งในตลาดรวม20% โดยในตลาดมีผู้ประกอบการในตลาดประมาณ 40 ราย ซึ่งสามารถผลิตท่อเหล็กขนาดปกติท่อเหล็ก 8,10,12 นิ้ว ส่วนผู้ผลิตที่มีความสามารถในการมผลิตท่อเหล็กขนาด 14,16 นิ้ว ปัจจุบันมีอยู่2 ราย หลังจากที่บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตท่อเหล็กขนาด16 นิ้วเข้ามาแล้ว คาดว่าอัตราการขยายตัวของรายได้จะเพิ่มขึ้น 25% หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น4,000ล้านบาท เทียบกับปี 2549ที่มีรายได้รวม 3,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนอีก 50 ล้านบาท ในการขยายศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มอีกแห่งที่ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้
นายสมชัย กล่าวถึงตลาดส่งออกว่า ด้วยปัจจัยการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้บริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายสัดส่วนในตลาดส่งออก จากปัจจุบันที่ยอดส่งออกของบริษัทมีสัดส่วน 20% ประกอบกับผลจากที่ประเทศจีน ได้หันมาเป็นผู้ส่งออกเหล็กในตลาดโลก จนกลายเป็นประเทศที่ชี้นำราคาเหล็กในตลาดโลก
" จีนเป็นประเทศผู้ผลิต ที่มีเครื่องมือในการกำหนดซัปพลายในตลาดเหล็ก สามารถคุมจำนวนความต้องการใช้ในประเทศและการผลิตเพื่อส่งออกได้ตามความต้องการ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ราคาเหล็กมีราคาสูงขึ้น ผสมกับตลาดในประเทศของจีน มีการบริโภคเหล็กค่อนข้างมาก และรวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ อินเดีย ก็มีผลต่อราคาเหล็กในตลาดโลก"
|