จากงานวิจัยเรื่องการจำศีลของกระรอกในฤดูหนาว แตกลูกออกมากลายเป็นช็อคโกแลตไฮเทค
ที่เสริมสร้างความต้านทานต่อความหนาวเย็นของร่างกาย และทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างลาร์รี่
แวง ตัดสินใจทุบกระปุกควักเงินที่สะสมมาชั่วชีวิตทุ่มลงไปในธุรกิจช็อกโกแลต
"โคลด์ บัสเตอร์"
ลาร์รี่ แวง ไม่เคยคิดและฝันเลยว่า งานวิจัย 18 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องอาการของคนไข้
ที่อุณหภูมิต่ำกว่าธรรมดา (HYPOTHERMIA) จะนำไปสู่การคิดค้น "แท่งช็อคโกแลต
ไฮ-เทค" ที่ชื่อว่า "แคนาเดียน โคลด์ บัสเตอร์" ซึ่งในปัจจุบันได้นำไปใช้ในการควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้อุ่นพอดี
ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเหน็บหรือเป็นการสร้างความอดทนในยามออกกำลัง
"ด้วยความสัตย์ เจ้าแท่งช็อคโกแลตนี้เกิดมาจากเหตุบังเอิญในงานวิจัยพื้นฐาน"
แวง ศาสตราจารย์ทางด้านสัตววิทยา ประจำมหาวิทยาลัย เอ็ดมันตัน ในแอลเบอร์ต้า
วัย 52 ปีกล่าว
เหตุบังเอิญในครั้งนั้นก่อให้เกิดบริษัทแอล แอนด์ อาร์ แวง เอ็นเตอร์ไพรซ์ขึ้นในปี
1990 ด้วยกำลังผลิตช็อคโกแลตกว่า 1 ล้านแท่ง และได้รับยกย่องเป็นผลิตภัณฑ์อาหารยอดเยี่ยมของปี
1992 โดยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ทางด้านอาหารของแคนาดา
ราคาขายของช็อคโกแลตบาร์นี้ตกประมาณอันละ 1.40 ดอลลาร์ ยอดขายครึ่งปีแรกของปีนี้
ประมาณ 505,570 ดอลลาร์ ในขณะที่ปีแรกที่เริ่มขายใหม่ ๆ นั้น มียอดขายเพียง
280,589 ดอลลาร์ เทานั้น โดยมีตลาดใหญ่ที่อยู่แถบแคนาดาตอนใต้และได้มีการส่งออกบางส่วนไปยังญี่ปุ่นและไต้หวัน
นอกจากนั้นยังมีการไปร่วมลงทุนผลิตในจีนด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับขนมหวานประเภทอื่นแล้ว ในขณะที่ จำนวนแคลอรี่ของ "โคลด์
บัสเตอร์" ทั้งหมด 154 แคลอรี่ จะมีไขมันอยู่เพียง 9% เท่านั้น ส่วนขนมหวานทั่ว
ๆ ไปมีไขมัน 30% จำนวนโปรตีนและคาร์โบไอเดรตก็มีสูงกว่าน้ำตาลธรรมดา โคลด์
บัสเตอร์จึงให้พลังงานที่จะถูกเผาผลาญออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ตกค้างเก็บสะสมไว้จนเป็นต้นเหตุของความอ้วน
โคลด์ บัสเตอร์ ทำจากส่วนผสมธรรมดา ๆ คือ หางนม, น้ำผึ้ง, ข้าว, โกโก้, และเคลือบด้วยช็อกโกแลตจากสวิส
แต่กรรมวิธีในการผสมส่วนประกอบเหล่านี้คือเคล็ดลับที่ทำให้ช็อกโกแลตของแวง
มีคุณสมบัติเป็นตัวเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เพื่อให้เกิดความร้อนและพลังงาน
"เรามีความมั่นใจในตัวสินค้านี้จนถึงกล้ารับประกันคืนเงินให้ นี่เป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าสำหรับสินค้าตัวนี้"
แวงกล่าว
แวงเกิดที่จุงกิง ประเทศจีนเมื่อปี 1941 และได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ไต้หวันเมื่อปี
1949 ที่นี่พ่อของเขามีอาชีพเป็นนายไปรษณีย์ แวงจบการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันที่ไทเป
และไปจบปริญญาโททางด้านสรีรวิทยาของสัตว์จากมหาวิทยาลัยไรซ์ และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล
ด้วยพื้นฐานทางด้านการศึกษาของเขา ไม่สามารถนำพาให้เขาเข้าสู่ธุรกิจได้
ปี 1970 เขาได้อพยพไปอยู่ที่แคนาดา เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่เมืองเอ็ดมันตัน
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐแอลเบอร์ต้า แรงจูงใจที่ทำให้แวงตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ก็คือแอลเบอร์ต้ามีกระรอก
5 ชนิดที่สามารถใช้เป็นสัตว์ทดลองในการวิจัยเรื่อง "การจำศีลในฤดูหนาว"
(HIBERNATION) ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นแอลเบอร์ต้ายังเป็นเมืองที่เหมาะสมสำหรับสินค้าอย่าง "โคลด์
บัสเตอร์" เนื่องจากมีฤดูหนาวที่โหดร้าย อุณหภูมิที่ต่ำกว่า -40 องศาเซลเซียส
ซึ่งภายใต้อุณหภูมิดังกล่าว ผิวหนังที่ไม่มีอะไรปกคลุมจะโดนแช่แข็งได้ภายในไม่กี่นาที
งานวิจัยของแวงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายคน โดยใช้ไขมันที่เก็บสะสม
ๆ ไว้ ในทำนองเดียวกับการเผาผลาญไขมันของร่างกายในช่วงจำศีลของกระรอกทั้ง
5 ชนิดเพื่อความอยู่รอดในช่วงฤดูหนาว เขาค้นพบว่าเมื่อมนุษย์อยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นมาก
ๆ หรือเมื่อออกกำลังกายนาน ๆ ร่างกายจะสร้างสารเคมีธรรมชาติที่ชื่อว่า ADENISINE
ออกมา สารตัวนี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นกรดไขมัน ซึ่งกรดไขมันนี้เป็นตัวสร้างความร้อนให้กับกล้ามเนื้อได้
แวงกล่าวว่าโคลด์ บัสเตอร์ จะป้องกันไม่ให้สาร ADENOSINE ไปยับยั้งการสร้างกรดไขมัน
มีผลทำให้ร่างกายของมนุษย์ทนต่อความหนาวเย็นได้มากขึ้น 50% ซึ่งจะช่วยทำให้คนที่ถูกความเย็นเป็นเวลานานมีเวลาพอที่จะหาสถานที่ที่มีความอบอุ่นได้ทันก่อนที่จะเกิดอาการ
HYPOTHERMIA ขึ้นมาได้
ผลงานวิจัยใช้เงินทุน 1 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายแหล่งรวมทั้ง
กระทรวงกลาโหมของแคนาดา และมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้า ซึ่งได้ร่วมเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอันนี้ด้วย
แวงในฐานะผู้ซื้อไลเซนส์ต้องจ่ายค่าโรยัลตี้ให้กับทั้ง 2 องค์กร สำหรับโคลด์บัสเตอร์ทุกอันที่ขายได้
ถึงแม้ว่าทางกระทรวงกลาโหมแคนาดา จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่งานวิจัยซึ่งเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์นี้และรับค่าโรยัลตี้เข้ากระเป๋าด้วย
แต่ก็ยังไม่ยอมขึ้นบัญชีโคลด์ บัสเตอร์ไว้ในรายการของกิน เครื่องใช้สำหรับทหารประจำการ
โฆษกกระทรวงกลาโหม ร้อยเอก มาร์ค รูโลว์ บอกว่าทางกองทัพยังไม่มีความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะดีกว่าช็อคโกแลตอื่น
ๆ จริงหรือไม่
จุดยืนของกระทรวงกลาโหมในเรื่องนี้ เป็นไปตามความเห็นของนักสรีรวิทยาของกองทัพ
อังเดร แวเลอรันด์ ซึ่งบอกว่าเขาไม่พบสิ่งแตกต่างระหว่างโคลด์ บัสเตอร์กับช็อคโกแลตประเภทอื่นที่จะสร้างเสริมความอดทนต่อความเย็น
แต่เขาก็ยอมรับว่าวิธีการทดลองของเขาแตกต่างจากของแวง
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของแวงที่ว่า ช็อคโกแลตของเขาจะเห็นผลเมื่ออยู่ในอุณหภูมิเย็นจัดมาก
ๆ นั้น ก็ยังไม่มีใครต่อต้าน กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมของแคนาดาอนุมัติให้โคลด์
บัสเตอร์วางตลาดได้ โดยจัดอยู่ในประเภท ขนมขบเคี้ยวซึ่งจะให้พลังงานที่จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้
แวงเองก็ได้ทุ่มเงินทุนกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐที่อุตส่าห์สะสมมาทั้งชีวิตเพื่อการลงทุนครั้งนี้
เมื่อถูกคะยั้นคะยอจากเพื่อนร่วมงาน "ผมยอมรับว่าผมมีความกลัวเป็นอย่างมาก
เพราะผมไม่เคยร่วมลงทุนทางด้านธุรกิจในชีวิตนี้มาก่อนเลย ผมเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ทึ่ม
ๆ คนหนึ่งเท่านั้น"
โคลด์ บัสเตอร์ออกสู่ท้องตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 1991 แวงเจอปัญหาบางประการอย่างไม่คาดคิด
มีคนที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้รักสัตว์ ซึ่งต่อต้านการใช้หนูเป็นสัตว์ทดลองในงานของแวง
ส่งจดหมายฉบับหนึ่งถึงสื่อมวลชน เตือนว่าได้พบโคลด์ บัสเตอร์จำนวน 87 ชิ้นที่เจือปนด้วยน้ำยาทำความสะอาดเตาอบ
แวงปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ แต่ก็ถูกบีบให้เก็บโคลด์ บัสเตอร์จำนวน 40,000
ชิ้นคืน ทำให้สูญเสียรายได้ไปถึง 46,600 ดอลลาร์ หลังจากนั้น 2 อาทิตย์เขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงกัน
แวงยังได้เตรียมออกช็อคโกแลตตัวอื่น ที่อาศัยเทคโนโลยี่เผาผลาญไขมันเช่นนี้ในอนาคตอันใกล้
อย่างเช่น PACE SETTER BAR ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางตลาดในปีหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความทนทานของร่างกายในระหว่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
หรือ MEAL REPLACEMENT BAR ซึ่งใช้แทนอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ก็กำลังอยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนา
เมื่อเร็ว ๆ นี้ แวงได้เซ็นสัญญามูลค่าหลายล้านเหรียญกับบริษัทอเมริกันแห่งหนึ่ง
โดยแวงจะเป็นผู้ป้อนวัตถุดิบที่ใช้ทำโคลด์ บัสเตอร์ เพื่อให้บริษัทนี้ผลิตช็อคโกแลตให้พลังงานออกมาขายในสหรัฐ
แต่จะใช้ชื่อและแพคเกจจิ้งใหม่ ซึ่งมีกำหนดจะวางตลาดภายในปีนี้ และหากทำยอดขายในปีแรกได้
10 ล้านเหรียญตามที่คาดการณ์ไว้ ฝันของแวงที่จะนำโคลด์ บัสเตอร์ออกสู่ตลาดโลกก็จะเป็นจริง
"ผมตื่นเต้นมาก" แวงพูดอย่างกระตือรือล้น "ถ้าช็อคโกแลตของผมขายเป็นไฟในสหรัฐฯ
มันก็น่าจะขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้ในที่อื่น ๆ"