Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์26 มีนาคม 2550
สิงคโปร์หืดจับ ชิงดำตำแหน่งฮับการเงินกับฮ่องกง             
 


   
search resources

International
Financing




ไม่ว่าจะพากเพียรเปลี่ยนตัวเองเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติมากแค่ไหน แต่จนแล้วจนรอดสิงคโปร์ก็ยังตามหลังฮ่องกงหลายขุม ในเส้นทางสู่จุดหมายการเป็นฮับการเงินแห่งเอเชีย

ทรัพย์สินในมือผู้จัดการกองทุนในฮ่องกงเพิ่มพูนสามเท่าระหว่างปี 2000-2005 อยู่ที่ 579,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทรัพย์สินของผู้จัดการกองทุนแดนลอดช่องเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็น 472,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่ารวมของตลาดหุ้นฮ่องกงมีมากกว่าสิงคโปร์กว่าห้าเท่า

ว่าที่จริง สิงคโปร์และฮ่องกงมีหลายอย่างคล้ายกันนอกเหนือจากสถานะอดีตอาณานิคมของอังกฤษ เป็นต้นว่าผ่องถ่ายตัวเองสู่ความเป็นสังคมสมัยใหม่ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ และต่างสร้างเนื้อสร้างตัวจากการค้า การเงิน และการลงทุนระหว่างประเทศ

ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของฮ่องกงปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 37,385 ดอลลาร์ต่อหัว ทั้งนี้ อิงกับอำนาจซื้อเสมอภาค (พีพีพี) ส่วนของสิงคโปร์อยู่ที่ 31,165 ดอลลาร์ ทำให้ฮ่องกงและสิงคโปร์มีอันดับโลกในด้านนี้อยู่ที่ 7 และ 21 ตามลำดับ

ระหว่างปี 2000-2005 เศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัวเฉลี่ย 5.3% ต่อปี เทียบกับ 5.1% ของสิงคโปร์

ทว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า การขยายตัวของแดนลอดช่องอิงกับรากฐานที่รัฐบาลปูทางเอาไว้

เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ หน่วยการลงทุนของรัฐบาลที่บริหารสินทรัพย์อยู่ราว 84,000 ล้านดอลลาร์ในขณะนี้ ถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ 7 ใน 10 แห่งในสิงคโปร์ ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์ แอร์ไลนส์ และดีบีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

แดนลอดช่องประกาศเจตนารมณ์ว่า ต้องการกระจายโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์, คอมพิวเตอร์ดิสก์ไดรฟ์ และโทรศัพท์มือถือ โดยเมื่อสองปีก่อนรัฐบาลตัดสินใจเลิกแบนสถานกาสิโน และสามารถดึงดูดการลงทุนได้หลายพันล้านจากลาสเวกัส แซนด์ส และเกนติ้งของมาเลเซีย

สิงคโปร์ยังอ้าแขนรับบริษัทต่างชาติสู่อุตสาหกรรม อาทิ สื่อดิจิตอล และเทคโนโลยีชีวภาพ

อนึ่ง รัฐบาลสิงคโปร์เป็นประเทศเดียวในเอเชียที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ภาครัฐอยู่ที่ระดับสูงสุด AAA ทั้งจากการจัดอันดับของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส, สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส และฟิตช์ เรตติ้งส์ ความมั่นคงดังกล่าว ประกอบกับมาตรการจูงใจของรัฐบาล ทำให้นครรัฐแห่งนี้ดึงดูดบริษัทต่างชาติได้มากมาย

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ลงความเห็นว่า การยึดกุมเศรษฐกิจของรัฐบาล กลายเป็นการทำหมันลัทธิผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของฮ่องกง แม้ว่าทางการแดนลอดช่องจะเริ่มผ่อนคลายเขี้ยวเล็บ แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะตามทันไข่มุกแห่งเอเชีย

แอนดี้ ซี นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญของฮ่องกง ที่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนเลย์ในเอเชียเมื่อปลายปีที่แล้ว ภายหลังเขียนอีเมลวิจารณ์สิงคโปร์ บอกว่ารัฐบาลที่เข้มแข็งกับภาคเอกชนที่แข็งแกร่งไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้

ลีกวนยู อดีตผู้นำและรัฐบุรุษ ดูเหมือนรู้ดีว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับสิงคโปร์วันนี้คือ การพาประชาชนออกจากรูปแบบเดิมๆ

“แค่บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน มีการใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลไม่เพียงพออีกต่อไป แต่เราต้องมีนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นผู้ประกอบการ”

แดนลอดช่องยังพยายามลบภาพพจน์รัฐพี่เลี้ยง อาทิ ในปี 2004 รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการแบนการขายหมากฝรั่งที่ใช้มา 12 ปี โดยยอมให้ประชาชนใช้ใบสั่งยาจากแพทย์เพื่อซื้อหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลและช่วยฟอกฟันขาว

ขณะเดียวกัน สิงคโปร์หมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจการจัดการทรัพย์สินเพื่อความมั่งคั่ง การศึกษา และการดูแลสุขภาพ ด้วยการแสวงหาประโยชน์จากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ในการเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ปี 2015 แดนลอดช่องตั้งเป้าว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 30,000 ล้านดอลลาร์

นับจากที่ประกาศให้ชีวการแพทย์เป็นจักรกลสร้างการเติบโตใหม่เมื่อปี 2000 การผลิตยาและอุปกรณ์การแพทย์บนประเทศเกาะแห่งนี้เพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าเป็น 23,000 ล้านดอลลาร์

รัฐบาลสิงคโปร์ยังลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ สร้างนิคมวิทยาศาสตร์ ไบโอโพลิส ซึ่งเป็นที่ตั้งสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ และกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทเวชภัณฑ์และชีวการแพทย์กว่า 100 แห่ง อาทิ เมิร์ก แอนด์ โค. และไฟเซอร์ นอกจากนั้น นักวิจัยระดับหัวกะทิ 16 คนจากอังกฤษและอเมริกา ยังย้ายมาแดนลอดช่อง ในจำนวนนี้รวมถึงอลัน คอลแมน ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างแกะโคลนนิ่ง ดอลลี่ และซิดนีย์ เบรนเนอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์เมื่อปี 2002

ความทุ่มเทต่างๆ ที่กล่าวมาส่งผลให้ปีนี้ สิงคโปร์ได้รับตำแหน่ง 1 ใน 5 ทำเลทองของการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากการสำรวจของเฟียร์ซ ไบโอเทค วารสารเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐฯ โดยอีก 4 ทำเลทอง ได้แก่ สก็อตแลนด์ และ 3 มลรัฐในอเมริกาคือ แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และวอชิงตัน

ในทางกลับกัน ความทะเยอทะยานที่จะเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียดูจะไม่ราบรื่นเหมือนด้านอื่น โดยโจทย์สำคัญที่สิงคโปร์ต้องแก้ให้ตกคือ การเอาชนะจุดแข็งของฮ่องกงในการเป็นประตูสู่จีน ประเทศที่เศรษฐกิจโตเร็วที่สุดของโลก และมีประชากรหนาแน่นถึง 1,300 ล้านคน

มูลค่าตลาดรวมของฮ่องกงวันนี้อยู่ที่ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ ทิ้งห่างตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่มีมูลค่าเพียงหลักพันล้านดอลลาร์ รัฐวิสาหกิจแดนมังกร เช่น แบงก์ ออฟ ไชน่า ที่เลือกตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นแหล่งระดมทุนระหว่างประเทศ เป็นสาเหตุทำให้ส่วนต่างถ่างกว้างขึ้น

โดนัลด์ สตราไซม์ ผู้บุกเบิกการลงทุนในจีนให้กับรอธ แคปิตอล พาร์ตเนอร์ส มองว่าตำแหน่งเมืองหลวงทางการเงินแห่งแปซิฟิกริมน่าจะตกเป็นของฮ่องกงมากกว่าสิงคโปร์ เพราะตอนนี้ ฮ่องกงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ศูนย์กลางการเงินโลกพึงมีอยู่แล้ว

ปัญหาของสิงคโปร์ยังอยู่ที่การพึ่งพิงภาคการผลิต ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 28% ของจีดีพีปีที่แล้ว ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวของฮ่องกงมีไม่ถึง 10% ผลคือสิงคโปร์เสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำอย่างจีนและอินเดีย

ซีคาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในทศวรรษหน้าอาจเบาบางแค่ 2% เนื่องจากผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ย้ายฐานออกไป

กระนั้นแดนลอดช่องพยายามลดต้นทุนด้วยการลดภาษีรายได้นิติบุคคลลง 6% นับจากปี 2000 อยู่ที่ 20% ขยับลงมาใกล้ภาษีของฮ่องกงที่ระดับ 17.5% เมื่อกลางเดือนที่แล้ว สิงคโปร์ยังแย้มว่าจะลดภาษีดังกล่าวเหลือ 18% ในปีหน้า

ขณะเดียวกัน ใช่ว่าฮ่องกงดีพร้อมไปทุกอย่าง การเติบโตอย่างได้ใจนำมาซึ่งด้านลบเช่นเดียวกัน อาทิ ค่าเช่าอาคารที่อยู่อาศัยระดับหรูแพงกว่าในสิงคโปร์ 54% ส่วนค่าเช่าอาคารสำนักงานแพงกว่าสองเท่า

แต่จุดอ่อนสำคัญน่าจะเป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดจากโรงงานในจีน และทำให้ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งตัดสินใจเก็บกระเป๋าย้ายไปสิงคโปร์

ปีที่แล้ว อันดับของฮ่องกงหล่นไป 12 จุด อยู่ที่ 32 ในการสำรวจเมืองที่ดึงดูดคนต่างชาติมากที่สุดที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษา อีซีเอ อินเตอร์เนชั่นแนล สาเหตุคือคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ ขณะที่สิงคโปร์ติดอันดับบนสุดของตารางจากการสำรวจ 257 เมืองทั่วโลก

สเปนเซอร์ ไวท์ นักวิเคราะห์จากเมอร์ริล ลินช์ ทิ้งท้ายเรื่องนี้ว่า มลพิษทางอากาศอาจส่งผลต่อขีดความสามารถแข่งขันของฮ่องกงในระยะยาว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us