และแล้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงข้อมูลที่กระจัดการจายตามห้องสมุดคณะ
หรือสถาบันวิจัยต่างๆ รวมกว่า 20 แห่ง หลังจากใช้เวลาดำเนินการมากว่า 5 ปีที่ผ่านมา
ภายใต้โครงการที่ชื่อ "จุฬาลิเนท (CHULALINET)"
CHULALINET ย่อมาจาก CHULALONGKORN UNIVERSITY LIBRARY NETWORK เป็นชื่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้หมด
ระหว่างห้องสมุดต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นระบบที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในต่างประเทศนิยมใช้นานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยวอชิงตัน มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฮ่องกง
ขณะที่จุฬาฯเป็นแนวคิดของผู้บริหารระดับสูงหลายท่านในขณะนั้นที่สำคัญคือ
ศ.นพเกษม สุวรรณกุล ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลาและศ.สัตวแพทย์ ระบิล รัตนพานี ที่เห็นว่าระบบห้องสมุดนั้นยังไม่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาค้นคว้าของนักศึกษาหรือการทำงานวิจัยของนักวิชาการ
"เพียงคุณกดแป้นคอมพิวเตอร์ก็จะทราบได้ทันทีว่าหนังสือที่ต้องการนั้นอยู่ที่ใดและสามารถยืม-คืนผ่านเครื่องได้ทันที…ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น"
ประจักษ์ พุ่มวิเศษ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยบริการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวและว่า
"จุฬาลิเนทไม่เพียงช่วยลดการสูญเสียของเวลาแต่ยังช่วยลดอุปสรรคทางด้านข้อจำกัดของเวลาด้วย
เพราะการค้นหาข้อมูลในห้องสมุดสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะหากมีเครื่องพีซีที่บ้านแล้วนำมาเชื่อมต่อกับระบบของมหาวิทยาลัย
การทำงานวิจัยหรือการค้นคว้าก็สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องทั้งวัน"
จุฬาลิเนทไม่เพียงให้บริการข้อมูลจากหนังสือที่มีอยู่ทุกๆ เล่มในทุกๆ คณะทางด้านเนื้อหาโดยย่อ
รวมทั้งการให้บริการติดต่อสื่อสารกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่าอิเล็กทรอนิคส์เมลระหว่างหน่วยงานต่างๆ
ภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น การขยายเครือข่ายเชื่อมโยงเข้ากับโครงการ THAINET
(THAI ACADMEMIC LIBRARY NETWORK) และ PULINET (PROVINCIAL UNIVERSITY LIBRARY
NETWORK) ซึ่งเป็นโครงการของทบวงมหาวิทยาลัย ที่จะเชื่อมโยงระบบห้องสมุดของสถาบันการศึกษาทั่วประเทศก็เป็นเป้าหมายต่อไปของโครงการจุฬาลิเนท
และเพื่อให้สอดคล้องกับยุคโลกานุวัตรในปัจจุบันจุฬาลิเนทได้เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบอินเตอร์เนท
(INTERNET) ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายการสื่อสารด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมาชิกมากที่สุด
คือประมาณ 20000 เครือข่ายทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นักศึกษา นักวิชาการ จำนวนหลายล้านคนจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยต่างๆ
ทั่วโลกจะสามารถติดต่อสื่อสารหรือใช้ข้อมูลด้านสารสนเทศร่วมกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ห้องสมุดจุฬาจะเป็นจุดผ่านเข้าออกหรือศูนย์กลางเครือข่ายอินเตอร์เนทในประเทศไทย
ที่จะเป็นตัวเชื่อมโยงต่อกับชุดคอมพิวเตอร์ปลายทางกล่าวคือ หากผู้ใช้บริการจุฬาลิเนทต้องการใช้บริการของห้องสมุดในต่างประเทศนั้น
จะต้องติดต่อมาที่ห้องสมุดอัตโนมัติของจุฬาลิเนท เพื่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เนท
และให้ระบบเทลเนท (TELNET) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ประเภทหนึ่งเป็นประตูนำทางสู่การค้นหาข้อมูลในต่างประเทศที่ต้องการ
ประจักษ์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วสมาชิกในเครือข่ายอินเตอร์เนทจะเปิดให้ใช้บริการด้านข้อมูลที่มีอยู่ในห้องสมุดกันอย่างทั่วถึง
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถอ่านเนื้อหาของหนังสือได้ทุกๆ เล่มที่มีอยู่ในห้องสมุดต่างประเทศ…คงเป็นเฉพาะหนังสือที่เราคิดว่าได้รับความนิยมหรือหาอ่านได้ยากในประเทศเราเป็นสำคัญ"
แม้ว่าทางจุฬาฯ จะต้องเสียค่าเช่าดาวเทียมของการสื่อสารสำหรับการใช้ระบบอินเตอร์เนทในอัตราเหมาจ่ายประมาณปีละ
4.3 ล้านบาท แต่หากเทียบกับค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่ต้องสูญเสียไปในการเดินทางแต่ละครั้งแล้ว
ก็นับว่าคุ้นค่ายิ่งอย่างไรก็ตามระบบอินเตอร์เนท ที่ทางจุฬาเปิดให้บริการมานานกว่า
2 ปีนั้นก็ยังไม่ได้คิดค่าบริการแต่อย่างไร
"ผมดีใจมาก…มันเหมือนกับความฝันที่กลายเป็นความจริง" ประจักษ์ในฐานะผู้อำนวยการวิทยบริการศึกษาที่รับผิดชอบดูแลโครงการจุฬาลิเนทมาตั้งแต่เริ่มแรก
กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
แม้ประจักษ์จะสำเร็จการศึกษาทางด้านสัตวแพทย์จากจุฬาฯ และเป็นอาจารย์ประจำที่คณะ
แต่เขาก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการจุฬาลิเนทมาตั้งแต่ต้น ทั้งนี้เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่สนใจพัฒนางานทางด้านห้องสมุดมานานกว่า
20 ปี ประสบการณ์ที่เขาได้จากการใช้ฐานข้อมูลด้านคอมพิวเตอร์จากอังกฤษไปอเมริกา
ขณะที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศในช่วงปี 2515 มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสนใจพัฒนาระบบห้องสมุด
การเซ็นสัญญาจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ระหว่างจุฬาฯ กับบริษัทดิจิตอล
(ประเทศไทย) จำกัดเมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมาถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของโครงการ
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นเครื่องขนาดมินิรุ่น DEC 3000 MODEL 500
S AXP SERVICES ขนาด 64 BITS ความเร็ว 150 MHs กระจายติดตั้งตามจุดต่างๆ
จำนวน 110 เครื่อง ขณะที่ซอฟแวร์ที่ใช้ ชื่อ INNOPAC SOFTWARE ซึ่งเป็นซอฟแวร์ที่นิยมใช้กันมากในห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทั่วโลกด้วยงบประมาณกว่า 28.5 ล้านบาท