|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทีพีไอโพลีนตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 5% เชื่อตลาดซีเมนต์และเม็ดพลาสติกยังเติบโตอยู่ มั่นใจรีไฟแนนซ์หนี้ 1 หมื่นล้านบาทได้ภายในปี 50 โดยจะกู้ซินดิเคทแบงก์ไทย 4-5 ราย หลังจากนั้นจะยื่นออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ขณะที่บริษัทรับอานิสงส์เงินบาทแข็งค่าทำให้มูลหนี้ลดเหลือแค่ 9.9 พันล้านบาท ด้านเจ้าหนี้ไฟเขียวการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า 36 เมกะวัตต์ มูลค่า 1.2 พันล้านบาท เพื่อลดต้นทุนการผลิต ส่วนโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 คงต้องรอไปจนกว่าความต้องการใช้ปูนจะเพิ่มขึ้น
นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ 2.26 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มราคาปูนซีเมนต์จะปรับขึ้นเล็กน้อย 5% ขณะที่ความต้องการใช้ปูนขยายตัว 0-5% แต่ขึ้นอยู่กับราคาเม็ดพลาสติก LDPE/EVA จะผันผวนมากน้อยแค่ไหน
โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 4-4.5% แม้ว่าช่วงต้นปีจะมีการชะลอตัวลง แต่หลังจากรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับลดลง จะช่วยกระตุ้นทำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ และประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จีดีพีในช่วงปลายปี 2550 ดีขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจะช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้นมาก
"ช่วงนี้ความต้องการใช้ปูนลดลง แต่เชื่อว่าปลายปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งดอกเบี้ยลดลง ทำให้ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ปูนในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น 0-5% ขณะที่ LDPE จะขยายตัว 4% ธุรกิจคอนกรีตโตขึ้นไม่เกิน 3% ซึ่งการก่อสร้างอาคารสูงจะมีมากในปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้องบังคับผังเมือง"
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะส่งออกปูนไปต่างประเทศประมาณ 10% ของยอดขาย ลดลงจากปีที่แล้วที่ส่งออกไป 12% ซึ่งราคาขายปูนในประเทศจะสูงกว่าราคาส่งออก ปัจจุบันทีพีไอโพลีนผลิตปูนซีเมนต์เต็มกำลังผลิตที่ 9 ล้านตัน ส่วนเม็ดพลาสติกLDPE คาดว่าจะมีส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ประมาณ 200 เหรียญสหรัฐต่อตันใกล้เคียงปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะพยายามรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับปีที่แล้วประมาณ 23%
ส่วนความคืบหน้าการรีไฟแนนซ์หนี้เดิม 1.01 หมื่นล้านบาทว่า บริษัทต้องการรีไฟแนนซ์หนี้เป็นสกุลเงินบาททั้งหมด โดยจะมีการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ไทย 4-5 รายแบบซินดิเคทโลน เทอมชำระเงินกู้ 7 ปี ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ 2 รายอยู่ระหว่างการพิจารณาปล่อยสินเชื่อดังกล่าว บริษัทเชื่อว่าจะรีไฟแนนซ์หนี้ได้ภายในปีนี้ ส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงประมาณ 1% เป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัวอ้างอิง MLR
"จากบริษัทรีไฟแนนซ์หนี้แล้วเสร็จ บริษัทจะดำเนินการยื่นขอออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีสุดท้าย หากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลฯจะพิจารณาให้บริษัทออกจากการฟื้นฟูหรือมีคำสั่งให้ล้มละลาย แต่เนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์รวม 4.9 หมื่นล้านบาท และหนี้สิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน โอกาสถูกสั่งให้ล้มละลายเป็นไปได้ยาก ซึ่งตนเชื่อว่าทีพีไอโพลีนจะรีไฟแนนซ์หนี้ได้สำเร็จ"
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการรีไฟแนนซ์หนี้ได้ ก็จะออกบอนด์มาชำระหนี้ แต่เชื่อว่าการรีไฟแนนซ์หนี้ไม่น่ามีปัญหา ซึ่งการออกบอนด์นั้นบริษัทจะพิจารณาเพื่อนำเงินมาใช้ลงทุนสร้างโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 4
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทมีโครงการนำความร้อนจากเตาเผามาผลิตไฟฟ้า 36 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนทั้งโครงการ 1.2 พันล้านบาท แต่ปีนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 600 ล้านบาทมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งเจ้าหนี้ได้อนุมัติการลงทุนในโครงการดังกล่าวแล้ว
โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงปีละ 360-500 ล้านบาท ซึ่งจะปรากฏในงบการเงินทีพีไอโพลีนในปี 2552
สำหรับโครงการก่อสร้างโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 ซึ่งบริษัทได้ลงทุนไปแล้ว 75 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3 พันล้านบาทนั้น คงต้องเลื่อนออกไปจนกว่าบริษัทฯจะดำเนินรีไฟแนนซ์หนี้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งการเลื่อนโครงการนี้ไปก่อนไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากความต้องการใช้ปูนในประเทศยังไม่โตเท่าที่ควร จึงนำเงินมาลงทุนโครงการอื่นแทน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทรอคำสั่งจากศาลฎีกาในคดีการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดที่เจ้าหนี้ 10 รายได้ยื่นคำร้อง โดยไม่ยอมรับเงินที่บริษัทวางไว้ที่ศาลล้มละลายกลางจำนวน 3 พันกว่าล้านบาท หากศาลฯมีคำสั่งให้บริษัทชนะคดี ก็จะมีการบันทึกกำไรจากการซื้อลดหนี้ดังกล่าวจำนวน 2,245 ล้านบาท
ณ สิ้นปี 2549 บริษัทฯมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 1.01 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ทำให้หนี้ปรับลดลงเหลือ 9.9 พันล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐ 120.52 ล้านเหรียญ หนี้สกุลยูโร 43.94 ล้านยูโร สกุลเยน 401.40 ล้านเยน และสกุลเงินบาท 3.56 พันล้านบาท โดยเจ้าหนี้มีประกันรายใหญ่ คือKFW แบงก์กรุงเทพ และแบงก์กรุงไทย
|
|
|
|
|