Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 มีนาคม 2550
แฉโกยกำไรบาทเย้ย ธปท. ทำผ่านตลาดหุ้น-รวยเละ             
 


   
search resources

Economics
Currency Exchange Rates




ความอ่อนหัดของแบงก์ชาติ-คลังที่ไม่ทันเกม แฉนักเก็งกำไรสบช่องฉกฉวยความผิดพลาดมาตรการ30%สกัดค่าบาทแข็ง ส่วนต่างระหว่างตลาดค่าเงินบาทในประเทศ-ต่างประเทศมีช่วงห่างสูง ทำกำไรง่ายๆวันละหลายรอบ กำไรอื้อซ่า เผยวิธีสุดนิยม ลงทุนผ่านตลาดหุ้นใช้เครือข่าย โบรกเกอร์สัญชาติสิงคโปร์ ซื้อขายสั้นๆฟันกำไรทันตาดอลลาร์ละ 3 บาท พบวอลุ่มซื้อหุ้นของโบรกเกอร์รายใหญ่แดนลอดช่องโตก้าวกระโดดผิดปกติ ขณะที่ตลาดหุ้นซ้ำ 3 เดือนหลังใช้มาตรการ 30 % เจ๊งไปแล้วเฉียด 4 แสนล้าน ชี้ตปท.หมดความศรัทธาแบงก์ชาติ

ค่าเงินบาทเมื่อวันศุกร์(16มี.ค.)ปิดในประเทศที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 9 ปีครึ่งขณะที่สำนักวิจัยหลายสำนักคาดว่าสัปดาห์นี้จะยังแข็งค่าต่อเนื่อง

การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องดังกล่าว มีสาเหตุสำคัญมาจากความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะความล้มเหลวของมาตรการสกัดค่าเงินบาทแข็งหรือมาตรการกันสำรอง30% สำหรับเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น

**แฉโกยกำไรบาททำง่าย-รวยเละ

ล่าสุดนอกจากจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว ยังมีช่องว่างให้มีการค้าเงินทำกำไรจากการที่อัตราแลก เปลี่ยนระหว่างตลาดเงินบาทในประเทศ (Onshore) กับนอกประเทศ(Offshore) มีส่วนต่างสูง และ ทำกำไรโดยผ่านตลาดหุ้น

ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถกระทำการง่ายๆผ่านตลาดสิงค์โปร์และไทย โดยวันนี้ค่าเงินบาทในประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท ขณะที่สิงคโปร์อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนต่างกันถึง 3 บาท

วิธีการที่นักค้าเงิน และ นักเก็งกำไรหุ้นหันมานิยมทำกันในขณะนี้ คือ 1.เพียงนักลงทุนสิงคโปร์รายหนึ่งมีบัญชีเงินบาทสำหรับชาวต่างชาติ ทำธุรกรรมโดยโอนเงินจากสิงคโปร์เข้าไทยซื้อหุ้นกับโบรกเกอร์ในไทยแล้วขายออกทันทีนำมาพักไว้ที่บัญชีเงินบาท จากนั้นโอนเงินกลับสิงคโปร์ ใช้เงินเท่าเดิมแต่จะมีกำไรส่วนต่างระหว่างสองตลาดดังกล่าวแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐได้มากขึ้น กำไรอย่างง่ายๆทันที

ตัวอย่างเช่น นักเก็งกำไรคนหนึ่งที่สิงคโปร์โอนเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกเงินบาทได้ 350 ล้านบาทมาที่บัญชีเงินบาทสำหรับชาวต่างชาติ จากนั้นซื้อหุ้นในราคา 350 ล้านบาทกับโบรกเกอร์แล้วขายหุ้นเป็นมูลค่า 350 ล้านบาท ในเวลาต่อมาก็โอนเงินจำนวนนี้กลับสิงคโปร์จะแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐได้ 10.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐกำไรทันที 9.3 แสนดอลลาร์สหรัฐ

วิธีการที่ 2. วิธีซับซ้อนขึ้นอีกโดยใช้เครือข่ายธนาคารพาณิชย์มาเกี่ยวข้องในขึ้นตอนการกู้ยืมเงินทำกำไรไม่ต้องผ่านบัญชีเงินบาทสำหรับชาวต่างชาติ

ตัวอย่างเช่น นักเก็งกำไรที่สิงคโปร์หรือในไทยก็ได้ ทำทีต้องการซื้อหุ้นตัวหนึ่ง สมมุติเป็นหุ้น A ราคา 32 บาทต่อหุ้น จำนวน 10ล้านหุ้น หรือต้องใช้เงิน 320 ล้านบาท(10ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับที่สิงคโปร์) ทำรายการผ่านโบรกเกอร์ในสิงคโปร์ จากนั้นโบรกเกอร์รายนี้ซึ่งอาจจะมีเครือข่ายธนาคารพาณิชย์ในไทย หรือ ไม่มี ขอกู้เงินในมูลค่าเท่ากับลูกค้าต้องการ 320ล้านบาทมอบให้สาขาโบรกเกอร์สิงคโปร์ในไทยโอนเงินมาให้แล้วซื้อหุ้น A ในราคา 320 ล้านบาท เพียงไม่กี่นาทีจากนั้นก็ขายหุ้น A ออกมาเท่ากับมูลค่าเดิม 320 ล้านบาท แลกเป็นดอลลาร์สหรัฐได้เงินมา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นักลงทุนรายเดิมก็จะแลกเงินบาทซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้เงิน 350 ล้านบาท คืนเงินกู้ยืมให้โบรกเกอร์ในไทยไปใช้คืนธนาคาร 320 ล้านบาท กำไรส่วนต่างทันที 30 ล้านบาท โดยสัปดาห์หนึ่งสามารถทำลักษณะเช่นนี้ได้หลายรอบ

กังขาธปท.ยุคนี้ทำอะไรไม่ผิด

วิธีการนี้ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน”ออกอากาศทางทีวีผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(อ่านรายละเอียดได้ที่ www.manager.co.th) ซึ่งเขายังได้ตั้งคำถามถึงนางธาริสา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลังว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่

สำหรับนางธาริสา เขาเห็นว่า ดำเนินนโยบายผิดพลาดมาตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้ว่าการฯ แล้วต่อเนื่องมาถึงการออกมาตรการสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินบาท หรือ มาตรการกันสำรอง 30% ในสมัยที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นรองนายกฯและรมว.คลัง จนส่งผลกระทบลุกลามถึงตลาดหุ้นอย่างหนัก

มาตรการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่าย นอกจากจะไม่ได้ผลค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องยังทำให้ธปท.ขาดทุนอย่างมหาศาล แม้จะปฎิเสธว่า เป็นเพียงการขาดทุนทางบัญชีก็ตาม

ประการสำคัญ หากใช้มาตรฐานเดียวกัน กรณีการปกป้องค่าเงินบาทในสมัยนายเริงชัย มะระกานนท์ เป็นผู้ว่าการธปท.ทำให้รัฐเสียหาย180,000 ล้านและถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา กรณีของนางธาริษาที่ธปท.ขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินบาทไปแล้ว 174,000 ล้าน ซึ่งยังไม่นับรวมเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมายังไม่เปิดเผยออกมา ถามว่า ผู้บริหารธปท.สมควรต้องรับผิดชอบหรือไม่ ทำไมถึงไม่มีใครมาดำเนินคดี?

**โบรกเกอร์สิงค์โปร์วอลุ่มก้าวกระโดด

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากเกี่ยวกับการทำกำไรค่าเงินบาทด้วยวิธีซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยเพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าทำได้อย่างถูกต้องเนื่องจากมีกฎหมายรับรองให้สามารถทำได้

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นยังเบาบางมากเพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนซึ่งหากมีการเข้ามาทำธุรกรรมด้วยวิธีดังกล่าวการไหลเข้ามาของเงินคงเป็นการไหลในลักษณะทยอยเข้ามาเพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทหลักทรัพย์ที่มีบริษัทจากสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พบว่ามีอยู่ 4 แห่งประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นโดย DBS Vickers Securities Holdings Pte. Ltd. สัดส่วน 99.99%, บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นโดย UOB-Kay Hian Holdings Limited. สัดส่วน 76.92%, บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นโดย Kim Eng Holdings Limited. สัดส่วน 57.63% และบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นโดย Philip Brokerage Pte. Ltd. สัดส่วน 99.89%

แหล่งข่าวกล่าวว่า โบรกเกอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่มีธุรกรรมซื้อขายหุ้นติดอันดับโบรกเกอร์ที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด หรือ มีมาร์เกตแชร์มากในตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า นับแต่มาตรการ30% ใช้บังคับสกัดค่าเงินบาท ต่างชาติซื้อขายหุ้นน้อยลง แต่ช่วงหลังพบว่า มีโบรกเกอร์ 1 ใน 4 รายนี้มีปริมาณการซื้อขายหุ้นผ่านเติบโตอย่างก้าวกระโดด

** 3 เดือนทำหุ้นเจ๊งเฉียด 4 แสนล้าน

หากนับแต่มาตรการกันสำรอง 30% ประกาศใช้เมื่อคืนวันที่ 18 ธ.ค. 2549 โดยแม้ว่าตลอด 3เดือนที่ผ่านมาจะมีการผ่อนปรนมาตรการมาอย่างต่อเนื่องแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลายเป็นแผลที่ทำลายความเชื่อมั่นใจต่อการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นโดยมูลค่าซื้อขายต่อวันปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1 หมื่นล้านมาโดยตลอด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) และ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เทียบกับวันที่ 19 ธ.ค.2549 เวลา 3 เดือนผ่านไปดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจาก 730.55 จุด (18 ธ.ค.49) เทียบกับปัจจุบัน (16 มี.ค.50) ดัชนีปิดที่ 671.05 จุด ลดลง 59.5 จุด หรือ 8.14% ส่วนมาร์เกตแคปเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 49 อยู่ที่ 5,450,570 ล้านบาท เทียบกับปัจจุบัน (16 มี.ค.50) อยู่ที่ 5,070,183.85 ล้านบาท ลดลง 380,386 ล้านบาท หรือลดลง 6.97%

นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะประธานชมรมโบรกเกอร์ต่างประเทศ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้มาตรการกันสำรอง 30% ของธปท.เนื่องการกระทบต่อการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศและกระทบต่อความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ แม้ว่าธปท.จะพยายามผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน เพราะนักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของภาครัฐรวมถึงความกังวลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นอีก

“ผมเชื่อว่ามันยากแล้วที่จะดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนเพราะว่านักลงทุนต่างชาติหมดความศรัทธาในแบงก์ชาติแล้ว นอกจากนี้เท่าที่ผมได้คุยกับนักลงทุนที่ประเทศนิวยอร์ก เขายังคงรอดูเกี่ยวกับความชัดเจนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะเสร็จเมื่อไร และเรื่องการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวที่จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการลงทุนโดยตรง”นายอาจดนัยกล่าว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกเชื่อว่ายังมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 700 จุดได้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าผลกระทบจากปัจจัยต่างๆนอกประเทศจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างๆในโลกแต่ตลาดหุ้นไทยกลับได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยส่วนหนึ่งเพราะสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยมีไม่มาก

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงปีที่ 49 ที่ผ่านมามีการขายสุทธิออกมาจำนวน 31,924 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินที่เข้ามาซื้อขายในช่วงนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเม็ดเงินที่เป็นเงินเดิมที่ซื้อขายหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนทำให้ช่วงที่ผ่านมาดัชนียังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดบประเมินแนวรับอยู่ที่ 660 จุด และแนวต้านที่ 700 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us