โรงละครสองโรงปักหลักเปิดการแสดงเรียกคนดูอยู่คนละมุมเมืองของกรุงเทพโรงแรก
"โรงละครกรุงเทพ" บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เยื้องซอยศูนย์วิจัย ในนามของบริษัทกรุงเทพโรงละคร
เปิดตัวไปก่อนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนถัดมาโรงละครเฉลิมกรุงรอยัลเธียเตอร์ที่แปลงโฉมมาจากโรงหนังเฉลิมกรุง
ก็ได้ฤกษ์เบิกโรง
ทั้งสองโรงเกิดขึ้นมาในขณะที่เจ้าเก่าอย่างมณเฑียรทองเธียร์เตอร์กำลังจะลาโรงไปในเดือนตุลาคมปีนี้
เพราะแบกรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มกับรายได้ต่อไปไม่ไหว การเกิดขึ้นของโรงละครกรุงเทพและโรงละครเฉลิมกรุงถือเป็นการลงทุนในเชิงธุรกิจเต็มตัวครั้งแรกของวงการละครไทย
หากไม่นับโรงละครยุคย้อนหลังไปเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ก่อนหน้ายุคการเข้ามาของภาพยนตร์
โรงละครทั้งสองแห่งนี้แตกต่างกันในหลาย ๆ มิติ
โรงละครกรุงเทพเป็นการลงทุนของนักทำละครมืออาชีพ ที่ใช้ชื่อว่า แดส เอนเตอร์เทนเมนท์
"DASS" คือส่วนผสมของสามสาวอดีตข้าราชการกระทรวงศึกษา ดารกา วงศ์ศิริ
เจ้าของตัวอักษร DA, แสงอรุณ กาญจนรัตน์ ตัว S และ S ตัวท้ายสุด ศิริวรรณ
ธีระปถัมภ์ ซึ่งทำละครเวทีกันมาตั้งแต่ปี 2529 จนถึงบัดนี้มีผลงานไปแล้ว
15 เรื่อง ส่วนใหญ่จะปักหลักแสดงที่หอประชุม เอ. ยู. เอ
เจ็ดปีของการทำละครเวที กลุ่มละครแดส เอนเตอร์เทนเมนท์มองเห็นแนวโน้มว่าจำนวนผู้ชมมีมากขึ้นเป็นลำดับโดยเฉพาะสามปีปลัง
คนดูประเภทสมาชิกที่จ่ายเงินปีละ 100 บาทแลกกับแม็กกาซีนของกลุ่มและส่วนลดในการซื้อบัตรมีไม่ต่ำกว่า
20,000 คน จนต้องเพิ่มรอบการแสดงหรือเปิดการแสดงซ้ำอีก ทำให้ทางกลุ่มมีความมั่นใจพอสมควรในเรื่องของตลาด
ความสำเร็จของแดสอยู่ที่การประสานการจัดการทางธุรกิจเข้ากับศิลปะ โดยเฉพาะกลยุทธ์
"การตลาดนำการละคร" ที่เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการเลือกละครสอดคล้องกับกลุ่มคนดูเป้าหมาย
นอกจากความมั่นใจในกลุ่มคนดูแล้ว ยังมีความอุ่นใจในเรื่องการผลิตละครว่าสามารถพึ่งตนเองได้
ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบท ผู้กำกับ นักแสดง ตลอดจนถึงการออกแบบและสร้างฉากละครเครื่องแต่งกาย
ขาดอยู่อย่างเดียวคือโรงละครที่เป็นของตัวเอง การที่ต้องไปเช่าสถานที่อื่น
ๆ เล่นละครนั้น มีปัญหาในเรื่องของเวลา และความไม่ได้มาตรฐานสำหรับละครเวที
ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้กลุ่มแดสฯ ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงละครของตัวเองขึ้นมา
โดยเช่าที่ดิน 2 ไร่บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่จากบริษัทปริ้นเซส พร็อพเพอร์ตี้ในเครือโรงแรมดุสิตธานี
บริษัทโรงละครกรุงเทพหรือ THE BANGKOK PLAYHOUSE CO., LTD. เจ้าของโรงละครกรุงเทพ
มีทุนจดทะเบียน 37.5 ล้านบาท มีกลุ่มละครแดสเอนเตอร์เทนเมนท์ เป็นตัวหลักในการรวบรวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด
20 ราย บริษัทแดสฯ ถือหุ้นไว้ประมาณ 46% อีก 25% เป็นของ ม.ร.ว. สายสิงห์
ศิริบุตร อุปนายกมูลนิธิช่วยเหลือนักเรียนขาดแคลน ซึ่งเป็นมูลนิธีที่กลุ่มแดสฯ
ทำละครเรื่องแรกเพื่อหาเงินเข้ามูลนิธิให้เมื่อปี 2529
"ถ้าไม่ได้ ม.ร.ว. สายสิงห์ เข้ามาร่วมทุน โรงละครกรุงเทพคงต้องยืดเวลาเกิดออกไปอีก"
ศิริวรรณ ประธานบริษัทโรงละครกรุงเทพกล่าว
ส่วนหุ้นที่เหลือกระจายไปในหมู่ผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งรวมทั้งดารา นักแสดงที่เคยทำงานร่วมกับแดสฯ
หลาย ๆ คนด้วย
ปัญหาสำคัญของโรงละครกรุงเทพคือ สัญญาเช่าที่ 2 ไร่นั้น มีอายุเพียง 6
ปีเท่านั้น ในขณะที่ต้องลงทุนสร้างโรงละครขึ้นมาเป็นเงินทั้งสิ้น 50 ล้านบาท
ดังนั้นจึงต้องเร่งหารายได้เข้ามาให้คุ้มกับการลงทุนเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ครบ
6 ปีแล้วไม่ได้ต่อสัญญาการเช่าที่ดิน
นอกเหนือจากรายได้จากการแสดงละครสัปดาห์ละห้ารอบ โดยใช้วิธีหาสปอนเซอร์จากองค์กรธุรกิจเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้วโรงละครกรุงเทพได้มอบหมายให้บริษัท
โซลิด สโตน ของสตีเวน ฟงและเชาวณีย์ อัชนันท์เป็นผู้บริหารงานด้านการตลาดทั้งในส่วนของละคร
และการให้เช่าพื้นที่ของโรงละครในวันที่ไม่มีการแสดง และส่วนด้านหน้าโรงซึ่งจะรองรับงานจัดเลี้ยงสำหรับคน
300-400 คนได้
ศิริวรรณคาดการณ์ว่าถ้าคิดเฉพาะรายได้จากการแสดงละครโดยที่ทุกรอบมีคนดูเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า
90 เปอร์เซ็นต์อย่างเช่นเคยเป็นมา จะสามารถคืนทุนให้ผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ยกเว้นแดสฯ
ได้ภายในสองปี
ส่วนโรงละครเฉลิมกรุงนั้น จัดว่าอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างจะสบายกว่าโรงละครกรุงเทพมากในเรื่องเงินทุน
เพราะผู้ถือหุ้นบริษัทเฉลิมกรุงมณีทัศนล้วนแต่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งสิ้น
คือ มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นในนามบริษัทสหศินีมา 45
เปอร์เซ็นต์ บริษัทสยามพานิชพัฒนาอุตสาหกรรม (บริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์กับบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์)
ถือหุ้น 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นของบริษัทมณีทัศน์ของมานิต
รัตนสุวรรณ ซึ่งจะเป็นผู้บริหารโรงละคร
เฉลิมกรุงยังไม่ต้องเผชิญกับเงื่อนเวลาที่จำกัดเหมือนโรงละครกรุงเทพ เพราะสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ศาลาเฉลิมกรุง
และให้สัมปทานนานถึง 30 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่เพียงพอสำหรับการคืนทุน
รายได้หลักของเฉลิมกรุงในระยะแรกนี้จะมาจากการแสดงโขนพร้อมคำแปลภาษาอังกฤษในวันธรรมดา
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเล่นละครเวทีย้อนอดีตยุค พ.ศ. 2475 สมัยเดียวกับละครรอบปฐมฤกษ์เรื่อง
'ศรอนงค์' ซึ่งเป็นละครของคณะปรีดาลัยในสมัยนั้น และเคยเล่นบนเวทีแห่งนี้เมื่อ
50 ปีที่แล้ว นอกจากนี้อาจจะสลับเล่นละครประวัติศาสตร์รวมถึงละครสมัยใหม่
มานิต รัตนสุวรรณประธานบริษัทมณีทัศน์ คิดว่าต้องใช้เวลา 5 ปีในการคืนทุน
80 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญคือการแสดงด้วยว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชมมากน้อยแค่ไหน
เพราะว่าเฉลิมกรุงเป็นเจ้าของเวทีเท่านั้น ไม่มีคณะละครสังกัดประจำ ใช้วิธีเซ็นสัญญากับผู้ทำละครเป็นเรื่อง
ๆ ไปซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องความคล่องตัวในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชัดเจนก็ได้
ม่านหน้าเวทีละครถูกชักขึ้นแล้ว ละครสองโรงสองลีลากำลังประชันบทกัน โรงไหนจะเรียกคนดูได้มากน้อยกว่ากันโปรดติดตามตอนต่อไป
!!