สำหรับคนที่อยู่ในแคนาดา และกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยวหรือธุรกิจ
เรื่องที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ต้องไปซื้อเครื่องเป่าผม หม้อแปลงไฟฟ้า และเตารีด
จากร้านเดอะ เฮ้าส์ ออฟ 220 ของ ซาร์จิต ซิงห์ ในโตรอนโต
แม้ว่าระบบไฟฟ้าของแคนาดาจะเป็นระบบ 110 โวลต์ แต่ร้านขายเครื่องไฟฟ้าของซาร์จิต
ซิงห์ ในโตรอนโตที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟ 220 โวลต์ก็มียอดขายถึงปีละ
2 ล้านเหรียญ และถึงแม้ว่าเครื่องรับโทรทัศน์ของแคนาดาอยู่ในระบบ NTSC แต่ซิงห์กลับขายกล้องวิดีโอระบบ
PAL หรือSECAM นี่คือยุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนการขายรถเลื่อนบนหิมะในบ้านเกิดของซิงห์ที่ร่างกุ้ง
แต่ก็เป็นวิธีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในวัย 51 ปี ซิงห์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับธุรกิจของเขา
จนวางแผนที่จะตั้งร้านใหม่ใกล้กับร้านเดิม โดยมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว
หลังจบการศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยร่างกุ้ง ซิงห์ย้ายไปอยู่ที่อินเดียเมื่อปี
1964 อีกสามปีต่อมาเขาก็อพยพไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดา เขาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบริการของบริษัทผู้นำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งเป็นเวลา
12 ปี ก่อนที่จะมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจของตัวเอง "เดอะ เฮ้าส์ ออฟ
220" คือร้านของซิงห์กับนารินเดอร์ ภรรยาวัย 45 ปี เป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ
ลูกค้าที่เป็นคนต่างชาติที่มาตั้งถิ่นฐานในแคนาดาและกำลังหาซื้อของขวัญเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน
รวมทั้งลูกค้าที่เป็นนักการทูตซึ่งต้องสับเปลี่ยนไปประจำในประเทศต่างๆ
เดอะ เฮ้าส์ ออฟ 220 ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของโตรอนโต ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยของคนเอเชียใต้
เป็นร้านยอดนิยมของชุมชนชาวอินเดียและปากีสถาน แต่คนเชื้อชาติอื่นก็เป็นลูกค้าเจ้าประจำของร้านนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
"เพียงแต่รู้ว่าลูกค้าเป็นคนชาติไหน ผมก็บอกได้ว่า สินค้าที่เขาต้องการคืออะไร"
ซิงห์กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ "คนอิตาเลียนจะไม่เดินออกจากร้านโดยที่ไม่มีกล้องวิดีโอติดมือไปด้วย
ส่วนคนอินเดียนั้นชอบซื้อเครื่องไฟฟ้าชิ้นเล็กๆ น้อยๆ" ปัจจุบันผู้ซื้อรายใหญ่ของร้านคือชาวศรีลังกากับอิสราเอล
คนศรีลังกาชอบซื้อเครื่องเล่นเทปวิดีโอ ขณะที่คนอิสราเอลคลั่งไคล้กับเครื่องทำข้าวโพดคั่วและเครื่องดูดฝุ่น
"ดัสต์บัสเตอร์" แบบหิ้วได้
ซิงห์เฝ้ามองลูกค้าที่เป็นคนอพยพมาจากประเทศอื่นไต่เต้าบันไดทางเศรษฐกิจสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เขากล่าวว่า "ตอนที่มาใหม่ๆ พวกเขาอยู่ในฐานะยากจน แต่พอสี่หรือห้าปีให้หลัง
ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นจนสามารถกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดได้" สำหรับคนเหล่านี้แล้ว
สิ่งของที่นำกลับไปฝากคนที่บ้านที่แสดงถึงความสำเร็จในต่างแดนก็คือเครื่องไฟฟ้า
"คนที่ไปอยู่เมืองนอก โดยทั่วๆ ไปแล้วก็คือไปขุดทอง เมื่อคุณกลับไปเยี่ยมครอบครัวโดยมีเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตหรือเทปวิดีโอติดมือไปด้วย
นั่นแสดงว่าคุณทำได้แล้ว" ไซอิด ไบลาล นักธุรกิจชาวปากีสถานวัย 37 ปีกล่าว
ลูกค้าบางคนนิยมซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในแคนาดามากกว่ากลับไปซื้อที่ประเทศของตัวเพราะว่ามีสินค้าให้เลือกมากกว่า
แต่เหตุผลหลักก็คือมีราคาถูกกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าในอเมริกาเหนือมีอัตราภาษีต่ำ
ในอินเดียและปากีสถาน ภาษีสูงถึง 150% และเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่สนามบินการาจีก็ไม่ค่อยจะเข้มงวดมากนัก
บางเที่ยวบิน ผู้โดยสารนับสิบจะเข็นเครื่องรับโทรทัศน์ขนาดใหญ่คนละ 2 เครื่อง
ผ่านด่านไปอย่างหน้าตาเฉย
"สินค้าของเราทุกชิ้นถูกกว่าร้านปลอดภาษีที่สนามบินโตรอนโต"
ซิงห์กล่าว เขายังอ้างว่าสินค้าในร้านของเขาราคาถูกกว่าร้านปลอดภาษีทุกแห่งในยุโรป
สหรัฐและเอเชีย เคล็ดลับของเขาก็คือ การติดตามราคาเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ
ทั่วโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อการตัดสินใจซื้อในราคาที่ดีที่สุด
สินค้าจากเดอะ เฮ้าส์ ออฟ 220 จำนวนมากจะถูกลักลอบนำออกไปขายยังประเทศอื่นในรูปของเถื่อนที่เลี่ยงภาษี
"ลูกค้าของผมในมอนทรีออลขายของให้กับกลาสีเรือ พวกเขามีวิธีการสารพัดอย่างที่จะนำสินค้าผ่านด่านศุลกากรไปได้"
ซิงห์ยอมรับ
ซิงห์อาจจะเป็นผู้นำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟ 220 โวลต์รายใหญ่ที่สุดในแคนาดาก็ได้
นอกจากขายปลีกเองแล้ว เขายังขายส่งให้กับร้านอื่นๆ มากกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ
ในบ้านของเขามีสต็อคสินค้ากว่า 400 ชนิด ซึ่งหลายประเภทเป็นยี่ห้อดังๆ ของโลก
นอกจากนั้นเขายังขายสินค้าบางอย่าง ภายใต้ยี่ห้อตราวีนัสของตัวเองด้วย โดยเฉพาะเครื่องเป่าผม
80% ของยอดขายคือเครื่องเป่าผมตราวีนัส
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของแคนาดากลับเกื้อกูลต่อธุรกิจของซิงห์ ภาวะการว่างงานที่อยู่ในอัตรามากกว่า
11% ทำให้ธุรกิจของแคนาดาเองก็ต้องส่งคนไปตระเวนหาตลาดในต่างประเทศ ก่อนออกเดินทาง
คนพวกนี้ก็จะต้องแวะที่ร้านของซิงห์เสียก่อน "ลูกค้าที่เป็นบริษัทจะซื้อคอมพิวเตอร์วันละ
5-10 เครื่อง" ซิงห์กล่าว
การหลั่งไหลกลับบ้านเกิดของผู้อพยพไม่ได้ทำให้ซิงห์วิตกว่า ลูกค้าของเขาจะลดน้อยลงไป
เพราะเขาเชื่อว่ามีผู้อพยพหน้าใหม่ๆ เดินทางเข้ามาอยู่ตลอดเวลา
ตอนที่เขาเพิ่งเปิดร้านใหม่ๆ ซิงห์กล่าวว่าเมื่อไรก็ตามที่เขาต้องไปสนามบินและเห็นผู้โดยสารที่กำลังเดินทางออกนอกประเทศ
"ผมเกิดความคิดว่าผู้โดยสารทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้า และผมคิดถูก"