ภาพรวมของธุรกิจสวนสนุกของทุกปี โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์นี้ พบว่ามีการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยธุรกิจต่างๆทั้งสวนสนุกภายนอกและในศูนย์การค้าต่างมีการจัดกิจกรรมแข่งขันดึงลูกค้ากันมากมาย อีกทั้งยังมีเอกชนที่จัดอีเว้นท์ดึงเอาเครื่องเล่นต่างๆเข้ามาเป็นครั้งคราว สร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจสวนสนุกที่เปิดให้บริการทุกวันอย่างสวนสยาม และดรีมเวิล์ด ไม่น้อย
ล่าสุดบริษัท อาร์เอส ไอ-ดรีม เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด บริษัทในเครืออาร์เอสเตรียมงบฯลงทุน 120-140 ล้านบาท สำหรับงานอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวม 4-5 อีเวนต์ใหญ่ และเตรียมแผนจัดอีเวนต์ประจำปี (annual event) ที่บริษัทเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เองเข้ามาเสริมด้วย ขณะเดียวกันอาร์เอสยังได้รับเป็นผู้บริหารจัดการทั้งด้านโอเปอเรชั่นและการตลาดให้กับสวนสนุกเคลื่อนที่รายใหญ่ในช่วงปลายปี และส่งท้าย ปีด้วยอีเวนต์ของทีวีซีรีส์ อุลตร้าแมน
แม้ว่าธุรกิจสวนสนุกต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่ส่งผลกระทบก็ตาม แต่การปรับตัวครั้งใหญ่ของ “สวนสยาม”ครั้งนี้ โดยเฉพาะการรีแบนด์ดิ้งตัวเองใหม่ทั้งหมดน่าจึงเป็นคำตอบสุดท้ายของสวนสยามที่พร้อมจะรุกธุรกิจสวนสนุกแบบครบวงจรเสียที
ความเคลื่อนไหวของ “สวนสยาม”ในปีหมู ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะใช้หนี้ธนาคารกรุงเทพหมดแล้วแถมยังได้นายทุนใหม่อย่าง ไทยธนาคารเข้ามาให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณอีก ส่งผลให้ ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท อมรพันธ์นคร-สวนสยาม จำกัด ผู้บริหารสวนน้ำและสวนสนุก “สวนสยาม” ยอมที่จะวางมือในการบริหารมากว่า 26 ปีเต็ม ขณะเดียวกันก็ดันคนในครอบครัวเข้ามาบริหารแทน
การบริหารจัดการครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากแผนงานที่วางไว้สูงสุดคือการเป็นผู้นำทางด้านสวนสนุกครบวงจรและมีเครื่องเล่นที่ทันสมัยพร้อมดึงผู้มีประสบการณ์ด้านการจัดอีเว้นท์และการประชาสัมพันธ์เข้ามาช่วยส่งเสริมการทำตลาด
นั่นจึงเป็นที่มาของแผนธุรกิจของสวนสยาม ตั้งแต่ปีนี้ ไปถึงปี 2551 สวนสยาม ยอมทุ่มทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสวนสยาม ทะเล-กรุงเทพฯ ให้เป็นสวนสนุกแบบครบวงจร พร้อมปรับโครงสร้างภายในองค์กร ให้เป็นมืออาชีพอย่างเต็มรูปแบบ สลัดภาพความเป็นบริษัทแบบครอบครัว
ขณะเดียวกันก็จะเร่งพัฒนากระบวนการทำงาน และบุคลากร พร้อมทั้งจะจ้างทีมงานมืออาชีพทั้งสัญชาติไทยและต่างประเทศเข้ามายกระดับองค์กร เพื่อให้การบริหารจัดการได้มาตรฐานในระดับเดียวกับสวนน้ำสวนสนุกระดับสากล
นับเป็นการรีแบนด์ดิ้งครั้งสำคัญของ สวนสยาม เพราะที่ผ่านมาจุดขายของธุรกิจสวนสยามมักจะเป็นสวนน้ำ หรือทะเลกรุงเทพ เท่านั้น ขณะที่เครื่องเล่นที่มีอยู่ผ่านการใช้งานมานานจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าเท่าไรนัก
ด้วยเหตุนี้เอง สวนสยามจึงนำเงินหมุนเวียนของบริษัทที่มีอยู่หลังปรับโครงสร้างของบริษัทกว่า 1,000 ล้านบาทมาใช้ประโยชน์ พร้อมกับกู้เงินจากแหล่งเงินทุนใหม่อย่างไทยธนาคารอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อปรับภาพลักษณ์ใหม่ของสวนสยามที่นอกเหนือจากสวนน้ำที่จะถูกปรับปรุงใหม่แล้วภายใน 2 ปีนี้ สวนสยามจะใช้งบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาทเพื่อติดตั้งเครื่องเล่นใหม่ๆจำนวน 6 ตัว
สำหรับในปี 2551 จะใช้งบที่เหลืออีก 1,500 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องเล่นอีก 10 ตัว ,ซ่อมแซมเครื่องเล่นเก่าที่มีอยู่ และปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดภายในสวนสนุกและสวนน้ำ เพื่อให้สวยงาม และปลอดภัย โดยเมื่อการลงทุนแล้วเสร็จจะทำให้สวนสยามมีเครื่องเล่นทั้งหมด เกือบ 40 ตัว และจะส่งผลให้สวนสยามขึ้นแท่นเป็นสวนสนุก-สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปฏิบัติการปรับโฉมใหม่ของสวนสยามครั้งนี้ น่าจะสร้างตลาดกลุ่มใหม่ๆเกิดขึ้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทย ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยก็จะหันมาเล่นเครื่องเล่นตัวใหม่โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ สวนสยามจึงมีแผนการตลาดที่จะเปิดบริษัทนำเที่ยวเพื่อดึงนักท่องเที่ยวในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาใช้บริการ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ลาว กัมพูชา เป็นต้น
จากเดิมที่ใช้สวนน้ำ-ทะเลกรุงเทพฯเป็นจุดขาย แต่ในอนาคตสวนสยามจึงหยิบเครื่องเล่นตัวใหม่จำนวน 6 ตัวที่กำลังติดตั้งให้เสร็จภายในเดือนตุลาคมของปีนี้ มาเป็นจุดขายใหม่ควบคู่ไปกับสวนน้ำที่มีอยู่ ซึ่งได้แก่ เกลียวเหาะมหาสนุก Suspended Looping Coaster รถไฟเหาะตีลังกา ที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 2 ของโลก มีความยาวถึง 765 เมตร สูง 33 เมตร ใช้พื้นที่ติดตั้ง 6 ไร่ ขณะที่ในประเทศอื่นมีความยาวเพียง 650 เมตรเท่านั้น บูมเมอแรง รถไฟเหาะตีลังกาถอยหลัง ,ไจแอ้นท์ ดร็อป ดิ่งพสุธา ,ไช-แอม ทาวเวอร์ หอคอยลอยฟ้าชมวิว ,เหยี่ยวเวหา และอลาดิน พรมเหาะมหาสนุก ซึ่งได้นำเข้ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ และเยอรมันนี
“แผนการปรับปรุงสวนสยามครั้งนี้ นับเป็นครั้งยิ่งใหญ่ในช่วง 26 ปี นับจากเปิดให้บริการ แต่ทั้งนี้บริษัทจะเก็บค่าบริการในส่วนของเครื่องเล่น จากเดิมที่ซื้อบัตรเดียวเที่ยวได้ทั้งสวนน้ำและสวนสนุก ซึ่งจะเริ่มเก็บค่าบริการตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป พร้อมกับการเปิดตัวมหกรรม “บิ๊ก ฮอลลิเดย์ 2007” โดยเครื่องเล่นเก่าจะเก็บ 30-60 บาทต่อครั้งต่อเครื่อง ส่วนเครื่องเล่นใหม่อยู่ระหว่างการกำหนดราคา”ไชยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ที่เป็นกรุ๊ปทัวร์จากต่างประเทศ อาจจะเป็นบริษัทย่อย หรือบริษัทใหม่ เพราะจะเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ขณะนี้ได้จัดตั้งทีมงานขึ้นมาดูแลในธุรกิจดังกล่าวด้วย เพื่อมาดูแลเตรียมความพร้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆอาทิ โรงแรมที่พัก หรือรถยนต์ในการให้บริการ
ปัจจุบันสวนสยามยังคงทุ่มงบการตลาดสำหรับซัมเมอร์ปีนี้ ประมาณกว่า 40 ล้านบาท เพื่อจัดอีเว้นท์เป็นประจำทุกปีโดยแบ่งเป็นงาน “บิ๊ก ฮอลลิเดย์ 2007” จำนวน 10 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการปรับโลโก้ให้ดูสดใสและทันสมัยมากขึ้น
ไชยวัฒน์ บอกถึงงบประมาณที่เหลืออีกกว่า 30 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้สำหรับลงโฆษณาประสัมพันธ์ โดยตั้งเป้ากำไร 40 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาสูงถึง 20% โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับโฉมใหม่ของสวนสยามในปี 2551 คาดว่าน่าจะสร้างผลกำไรเติบโตเป็นเท่าตัว โดยมาจากการเก็บค่าบริการของเครื่องเล่นใหม่ ซึ่งหวังผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านบาทในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านบาท ในปี 2552
หากเป็นไปตามแผนงานที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลเหลืองอมรเลิศวางไว้ รวมถึงผลกำไรที่สวนสยามได้รับตั้งแต่ปี 2547 ที่มีกว่า 12 ล้านบาท และในปี 2548 อีกจำนวนกว่า 27 ล้านบาท ขณะที่ผลกำไรในปี 2549 สูงถึง 38 ล้านบาท จะส่งผลให้ “สวนสยาม”เป็นธุรกิจสวนสนุกที่สร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุน ซึ่งหมายความว่าแผนการเดิมที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม
|