ทางรอดสุดท้าย “ปริญสิริ” เร่งระดมทุนกว่า 1,000 ล้านบาท หวังล้างหนี้พุ่งทะลุกว่า 1.5:1 พร้อมเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ 13 แห่ง มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ยันรายได้แตะหมื่นล้านภายใน 5 ปี
แม้ในช่วงที่ผ่านมา บมจ.ปริญสิริ จะมีหนี้สินต่อทุนเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 1.5:1 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และแม้ว่าจะมีกระแสข่าวมาตลอดในปีที่แล้วว่า ปริญสิริมีแผนจะร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้ได้เม็ดเงินมาลงทุนโครงการใหม่ แต่ ชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย รองประธานกรรมการ กลับยืนยันเสียงแข็งว่า ปริญสิริยังมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และมีความพร้อมในเรื่องแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้พัฒนาโครงการใหม่ๆ ในปีนี้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน และดิ้นรนหาเม็ดเงินใหม่ ๆ มาใส่ในบริษัท เพราะในช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่องจนถึงต้นปีนี้จะมีรายได้จากการโอนเข้ามาอีกจำนวนมาก ซึ่งจะเพียงพอต่อการลงทุนตามแผนการที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ชัยวัฒน์ ยอมรับว่า ในปีก่อนปริญสิริมีการเจรจากับพันธมิตรข้ามชาติจากเอเชีย 2-3 รายถึงการเข้ามาร่วมทุนจริง แต่การเจรจากับพันธมิตรข้ามชาติ ไม่ใช่เพราะปริญสิริต้องการเงินมาหล่อเลี้ยงองค์กร หรือใช้สำหรับการลงทุนโครงการใหม่ของปีนี้ที่มีแผนจะลงทุนโครงการทั้งหมด 13 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ และแนวสูง 3 โครงการ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และวางเป้าหมายมียอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี นับจากปี 2549 เป็นปีแรก
แต่หากการเจรจาดังกล่าว เป็นเพราะปริญสิริมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และทำการตลาดถูกทางและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการซื้อจริง ตลอดจนมีแผนสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีตัวเลขรับรู้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยมีการวางเป้าหมายเติบโตปีละ 15% ทุกปี ขณะที่ปี 2549 มีอัตราเติบโตราว 30% หรือมียอดรับรู้รายได้ 2,960 ล้านบาทต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท จึงทำให้ปริญสิริเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ต่างชาติสนใจเข้ามาร่วมทุน
ขณะเดียวกันการเจรจากับพันธมิตรนั้น ส่วนใหญ่พันธมิตรจะเป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามาเอง และบริษัทก็เปิดกว้างสำหรับการเข้ามาเจรจา แต่จนทุกวันนี้ยังไม่ขั้นลงตัวแต่อย่างใด เพราะการร่วมทุนมีรายละเอียดค่อนข้างมาก และต้องอาศัยเวลาในการพิจารณา
“หากเราจะจับมือกับพันธมิตรก็เพราะเราต้องการโนว์ฮาวด้านการก่อสร้าง โดยเฉพาะอาคารสูงมากกว่าเงินทุน และพันธมิตรที่เข้ามาเจรจาทุกรายก็มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง บริษัทจึงสนใจและเจรจาด้วย”ชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้ ชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำมาใช้ลงทุนโครงการใหม่ เพื่อให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้ ซึ่งขณะนี้แหล่งระดมทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คือ การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 670 ล้านบาท เป็น 1,340 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีเงินทุนไหลเข้ามากว่า 1,000 ล้านบาท และจะทำให้หนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 1.2 :1 หรือต่ำกว่า 1:1
โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรก 3 แห่ง ได้แก่1.โครงการเดอะ คอมพลีท ราชปรารภ ตั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นอาคารสูง 2 อาคาร จำนวน 334 ยูนิต และ 203 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาทขึ้นไป 2.โครงการ The Pulse พหลโยธิน 37 เป็นอาคารสูง 2 อาคาร รวม 308 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท และ3.เดอะ คอมพลีท นราธิวาส เป็นอาคารสูง 31 ชั้น จำนวน 187 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท มูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 1, 000 ล้านบาท
สำหรับโครงการอื่นๆที่มีแผนจะทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาสสองเป็นต้นไปถึงปลายปีนี้อีก 10 แห่งนั้น บริษัทฯจะเร่งเปิดตัวให้เร็วขึ้น โดยจะเปิดตัวทั้งหมดภายในภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างไรบ้าง
|