ยักษ์ใหญ่แลนด์ฯ สะดุดปัจจัยลบปี 49 กำไรหด ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 20,000 ล้านบาท โต 15% ดึงทุนสิงคโปร์ลงทุนบริษัทลูก 3 โครงการ ต่อยอดรายได้ค่าเช่า ทุ่ม 600 ล้านบาท ทำตลาดขยายฐานลูกค้าอายุต่ำกว่า 30 ปีต่อเนื่อง เตรียมออกแบรนด์ใหม่เจาะลูกค้ากำลังซื้อหด พร้อมงัดแคมเปญการเงินดึงลูกค้ากู้แบงก์แลนด์ฯ
เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งสำหรับตัวเลขรายได้และผลกำไรในปี 2549 ของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เจ้าของบัลลังก์เบอร์หนึ่งแห่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีเสี่ยตึ๋ง อนันต์ อัศวโภคิน กุมบังเหียนอยู่ ซึ่ง ณ วันนี้ตัวเลขผลของประกอบการก็พิสูจน์ออกมาแล้วว่าแม้กระทั่งเบอร์หนึ่งของตลาดอย่างแลนด์ฯ ก็หนีไม่พ้นภาวะขาลง หลังจากเกิดปัจจัยลบต่างๆ เข้ามากระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากกำไรและรายได้ที่หดหายไป ไม่ต่างจากดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ เพราะที่ผ่านมาต่างก็ประสบกับปัจจัยลบที่ไม่แตกต่างกันนัก
โดยแลนด์ฯ น่าจะได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่าใคร เพราะเซกเมนต์หลักของแลนด์ฯ คือ บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะหดตัวอย่างรุนแรง ท่ามกลางกำลังซื้อที่หดตัว ทำให้คอนโดมิเนียมระดับกลางเติบโตกลายเป็นดาวรุ่งขึ้นมาแทน รวมทั้งการปรับตัวที่ล่าช้าไปเล็กน้อยของแลนด์ฯ เป็นจังหวะเพลี่ยงพล้ำทำให้คู่แข่งหลายรายประกาศกร้าวที่ขอชิงตำแหน่งเบอร์ 1 แทน
อดิศร ธนานันท์นราพูล กรรมการแลรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวถึงผลประกอบการในปี 2549 ว่า บริษัทฯ มียอดขายจากการโอนบ้านรวม 17,620 ล้านบาท ลดลง 22.5% จากปี 2548 ที่มียอดขาย 22,745 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 24,000 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่มียอดรับรู้รายได้ของคอนโดมิเนียมเข้ามาในปีนี้ รวมทั้งภาวะอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคจากสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนกำไรสุทธิปีนี้ลดลง 36.6% อยู่ที่ 3,247 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้นโดยไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการทำตลาดมากขึ้น ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.45 ณ สิ้นปี 2548 มาอยู่ที่ 0.56 ณ สิ้นปี 2549
สำหรับแผนงานในปี 2550 บริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้และซื้อที่ดินเพิ่มเติม โดยวางงบประมาณเพื่อซื้อที่ดิน 3,800 ล้านบาท การเพิ่มทุนของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อยอีก 300 ล้านบาท และการลงทุนพัฒนาโครงการให้เช่าร่วมกับ GIC (Government Of Singapore Investment Corporation) ทุนสิงคโปร์ที่ร่วมถือหุ้น 40% ในบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ พร็อพเพอร์ตี้ โดย 2 โครงการแรกที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ สาทร บ้านเดี่ยว 40 ยูนิตให้เช่า บน ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ เจาะกลุ่มชาวต่างชาติ มูลค่า 800 ล้านบาท, เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 500 ยูนิต ย่านราชดำริ มูลค่า 2,500 ล้านบาท
ด้านที่ดินปากซอยสุขุมวิท 19 จะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่าประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการ คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนา 3 ปี เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ปีนี้ แลนด์ฯ ตั้งเป้ารายได้ 20,000 ล้านบาท เติบโตในแง่ยอดขาย 15% โดยมีสัดส่วนรายได้จากบ้านเดี่ยว 90% ทาวน์เฮาส์ 5% และคอนโดมิเนียม 5% จะมีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมเข้ามาในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
นพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าจากปัจจัยลบหลายด้านส่งผลให้ตลาดบ้านเดี่ยวหดตัว ซึ่งแลนด์ฯ มียอดโอนบ้านเดี่ยวในปี 2549 หดตัวลง 18.8% จากตลาดรวมที่หดตัวลง 26.7% แต่อย่างไรก็ตาม นพร มองแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน 10% จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง รายได้ของผู้บริโภคที่จะปรับสูงขึ้นจากการเพิ่มเงินเดือน จะทำให้กำลังซื้อเริ่มกลับคืนมา
แผนการตลาดในปีนี้ นพร กล่าวว่า จะเดินหน้าเทงบ 600 ล้านบาท เพื่อทำตลาดในกลุ่มเป้าหมายอายุต่ำกว่า 30 ปีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ปูพรมไปในปลายปีที่แล้ว เนื่องจากลูกค้ากลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของแลนด์ฯ เริ่มขยายฐานได้ยากขึ้น โดยขณะนี้มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวอยู่ 14% นอกจากนี้ยังเตรียมจะออกแบรนด์ใหม่สำหรับทาวน์เฮาส์ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี The Terrace ทาวน์เฮาส์ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์ใหม่สำหรับคอนโดมิเนียมราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มเติมจาก The Room ที่มีราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้จะมีการปรับผังองค์กรในลักษณะของแบรนด์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวม 9 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ปัจจุบันมีสต็อคบ้านพร้อมโอนจำนวน 595 ยูนิต มูลค่ารวม 3,400 ล้านบาท
นอกจากนี้แลนด์ฯ ยังงัดกลยุทธ์ทางการเงินมาใช้ เพื่อหวังสร้างรายได้ให้กับแบงก์แลนด์ฯ ด้วยการใช้แคมเปญ Home Saving Package มูลค่ารวม 4,170 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่จองซื้อโครงการ โดยให้สินเชื่อในเงื่อนไขพิเศษ หากลูกค้าผ่านการพิจารณาของธนาคาร ซึ่งลูกค้าจะต้องเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นระยะเวลาอย่างต่ำ 6-12 เดือนก่อน โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์และเงินทำสัญญา และหากลูกค้ายกเลิกโครงการก็ยังได้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยด้วย
|